โซเชี่ยลเน็ตเวิร์คมีความสำคัญกับคนกทมพอสมควรในสภาวะน้ำท่วมแบบนี้
มีการรวมกลุ่มกันในเว็บไซต์ต่างๆเพื่ออัพเดทข้อมูลกัน ว่าในย่านนั้นแถบนี้น้ำไปถึงไหนกันแล้ว
มีภาพประกอบ มีคลิปให้ชม เป็นประโยชน์กับผู้อ่าน และเป็นความอิ่มใจของผู้โพสต์
ที่ได้สร้างคุณค่าให้กับผู้ร่วมชะตากรรมยามน้ำท่วม
แต่บางสิ่งที่มีคุณอนันต์ ยามเป็นโทษก็อาจมีโทษมหันต์
มีข่าวลือข่าวปล่อย เพื่อหวังทำลาย หรือหวังสร้างคุณค่าเกินจริงก็มากเหมือนกัน
ผู้เสพย์ Social Network ก็ต้องใช้ความระมัดระวังด้วย
คนดังบางคนใช้ โซเชี่ยลเน็ตเวิร์คในการระบายอารมณ์ สร้างกระแส ด่าทอ
อาจด้วยความกดดัน ความเครียด อารมณ์ชั่ววูบหรือความเกลียดเป็นทุนเดิม…
ก็เป็นเหตุผลได้ทุกอย่าง
แต่เมื่อกระทำลงไปแล้ว
ต้องยอมรับกับผลของมัน
เพราะอาจมีคนเห็นด้วยกับคนดังคนนั้นแห่แหนเข้ามาเชียร์ ชื่นชมเป็นฮีโร่
แต่ในทางกลับกันก็อาจมีอีกฝ่ายที่เกลียดชังคุณเช่นกัน
มันคุ้มกันไหมถ้าคุณที่ได้ชื่อว่าเป็น “คนของประชาชน”
คุณจะเป็นคนของประชาชนแค่กลุ่มหนึ่ง
แต่อีกกลุ่มหนึ่งซึ่งอาจพอๆกันหรือมากกว่า เขาเกลียดคุณราวกับอุนจิ
เก็บความอารมณ์เกลียดไว้ดีกว่า อย่างมากก็ระบายกับคนใกล้ตัวก็พอ
เพราะ โซเชี่ยลเน็ตเวิร์คเป็นสื่อที่เร็วแรงเกินกว่าจะควบคุมได้
สังคมยุคนี้ยังแบ่งสี มีคนพร้อมกับรักพวกเดียวกันเพิ่มขึ้น
และพร้อมจะเกลียดฝ่ายตรงข้ามได้ตลอดเวลา
มันไม่คุ้มกันหรอกกับการหวังเพียงแค่ระบายอารมณ์
นอกจากคุณไม่คิดจะเป็นคนของประชาชนแล้ว
นั่นก็อีกเรื่องหนึ่ง
ฉันมีบทความมุมบวกที่ใช้ Social Network เช่นกัน
อ่านแล้วประทับใจในช่วงวิกฤตน้ำท่วม
อยากจะบันทึกไว้ที่นี่…..
ขอบคุณทั้ง 3 ท่าน ที่อยู่ในคอลัมน์ “หนุ่มเมืองจันทร์” และขอบคุณ มติชนด้วย
http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1320668770&grpid=01&catid=&subcatid=
คนเราจะสุขจะทุกข์อยู่ที่มุมมองและวิธีคิด จริงๆ
เริ่มกันเลยค่ะ
…………………………………………………………………..
มุมมองน่ารักเรื่อง “น้องน้ำ” จาก
“ตัน ภาสกรนที-ประภาส ชลศรานนท์” และ “นิ้วกลม”
วันที่ 07 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554 เวลา 22:00:00 น
“หนุ่มเมืองจันท์”
ในเฟซบุ้คของคนดัง 3 คน “ตัน ภาสกรนที-ประภาส ชลศรานนท์”และ”นิ้วกลม” ก็เหมือนกับเฟซบุ้คทั่วไปในช่วงนี้ คือเขียนถึงเรื่อง”น้ำท่วม”
แต่ละคนก็มีแง่มุมแตกต่างกัน
ที่เหมือนกันก็คือ แง่มุมที่คมคายและการให้กำลังใจ
เริ่มจาก”ตัน”
หลังโรงงานอิชิตันที่นิคมอุตสาหกรรมโรจนะ เจอ”น้องน้ำ”มาเยือน
“ตัน”เขียนเรื่อง”สำนึกและความเกรงใจ”ลงในเฟซบุ้คของเขา
“ไม่มีใครสามารถสกัดกั้นธรรมชาติได้ น้ำมาแล้วมันก็ต้องมีที่ให้ไป มาเร็วก็ไปเร็ว
ขอให้ชาวกรุงเทพยอมรับและทำใจให้อยู่กับความเป็นจริง..เรายังไม่ได้เศษเสี้ยวความทุกข์ของคนต่างจังหวัด…เตรียมตัวรับมือให้พร้อมครับ
โลกพยายามเตือนเราหลายครั้งว่าเขาทนไม่ไหวแล้ว บางครั้งพูดเสียงเบาๆ
ผ่านปรากฎการณ์ธรรมชาติที่ผิดเพี้ยนขึ้นทุกวัน
บางครั้งตะโกนดังๆ ผ่านเหตุการณ์แผ่นดินไหว มหันตภัยน้ำท่วม พายุทอร์นาโด ฯลฯ
แต่เราไม่ได้ยิน หรือ…แกล้งทำเป็นไม่ได้ยิน
ถ้าเรายังนิ่งเฉยต่อเสียงตะโกนของโลก วันหนึ่งโลกคงต้องทวงคืนทุกสิ่งที่เขาให้เรามา ยิ่งเราใช้ทรัพยากรอย่างไม่เกรงใจธรรมชาติ ธรรมชาติก็จะยิ่งเอาคืนจากเราเท่านั้น
ความเกรงใจนี่สำคัญมากนะครับกับการอยู่ร่วมกันของทุกสรรพสิ่งบนโลกกลมๆใบนี้
ไม่ว่าจะอยู่ร่วมในองค์กร อยู่ร่วมกันในครอบครัว และสังคม”
คำเตือนคนกรุงเทพของ”ตัน”เมื่อประมาณ 1 เดือนที่ผ่านมา
วันนี้เป็นจริงแล้ว
ขีดเส้นใต้อีกครั้ง
“ขอให้ชาวกรุงเทพยอมรับและทำใจให้อยู่กับความเป็นจริง..เรายังไม่ได้เศษเสี้ยวความทุกข์ของคนต่างจังหวัด…เตรียมตัวรับมือให้พร้อมครับ”
ส่วน”นิ้วกลม”นั้น มีแง่มุมน่ารักและน่าคิด
เริ่มจากเขียนเรื่อง“ความสามารถในการปรับตัวของมนุษย์์”
“วันแรก…ขอให้ไม่ท่วมบ้านของเราด้วยเถิ้ด
วันที่สอง…เอาวะ ท่วมก็ไม่เป็นไร ขอให้รถยังวิ่งได้ด้วยเถิ้ด
วันที่สาม…ไม่มีรถก็ไม่เป็นไร ขอให้อย่าเข้าบ้านเราเลยเถิ้ด
วันที่สี่…เข้าบ้านก็ไม่เป็นไร ขอให้อย่าเกินเอวเลยเถิ้ด
วันที่ห้า…เกินเอวก็ช่างมัน ขอให้อย่าถึงชั้นสองเลยเถิ้ด
วันที่หก…ถึงชั้นสองก็ปลงได้แล้วแหละ ขออย่าให้ท่วมนานเลยเถิ้ด
วันที่เจ็ด…ท่วมนานก็ไม่เป็นไร เอาน่า อย่างน้อยเราก็ยังรักษาชีวิตไว้ได้”
ก่อนจะสรุปว่า“ดูหมือนน้ำค่อยๆ จัดลำดับสิ่งสำคัญในชีวิตของเราไปตามระดับน้ำที่ค่อยๆ สูงขึ้น”
อีกเรื่องหนึ่งที่น่ารัก เป็นเรื่องที่เขาได้พบคนพา”น้องหมา” หนีน้ำ
“บางคนบอกว่า ถึงเวลาน้ำท่วมแบบนี้ หมาแมวเป็นภาระ แต่เวลาที่ได้เห็นผู้คนเดินลุยน้ำเท่าเอวแล้วลากแพที่ให้บรรดาหมาๆ ทั้งหลายยืนแห้งอยู่บนแพก็รู้สึกว่าพวกเขาเป็นเจ้าของที่น่ารักดีจริงๆ
เมื่อเราทักคุณพี่คนหนึ่งว่า “ดีนะพี่ ไม่ทิ้งมัน”
แกก็ตอบว่า “โอย ไม่ทิ้งหรอก เลี้ยงมันแล้ว มันก็เป็นครอบครัวเราเหมือนกัน ทิ้งกันไม่ได้หรอก
ในเวลาน้ำท่วม สิ่งที่เป็น “ภาระ” ก็คือสิ่งที่เรา “รัก” นั่นเอง”
ในขณะที่ทุกคนมองแค่ความทุกข์ในวันนี้ “นิ้วกลม”มองไกลไปในอนาคตว่าวันหนึ่งทุกคนคุยกับเรื่องวันนี้.
บางทีความรู้สึกของแต่ละคนต่อ”วันนี้”อาจพลิกเปลี่ยนไป
“คิดเล่นๆ แบบเพี้ยนๆ ว่า อีกสิบปีข้างหน้า พอเพื่อนๆ นั่งล้อมลงคุยกันถึงน้ำท่วมใหญ่ปี 54 อย่างเมามัน
วันนั้นคนที่ไม่โดนน้ำท่วมจะเซ็งๆ นิดหน่อย เพราะไม่มีเรื่องเล่าว่าตอนนั้นเป็นไงบ้าง และพูดออกมาแบบจ๋อยๆ ว่า
“บ้านกูไม่โดนว่ะ ชีวิตปกติมากเลย”
แล้วก็ได้แต่นั่งฟังเพื่อนๆ เล่าอดีตอันโหดร้ายอย่างสนุกสนานอยู่เงียบๆ”
(ฮ่าฮ่า เป็นการปลอบใจตัวเองซึ่งโดนน้ำท่วมไปพลางๆ)
ช่วงที่ผ่านมา”นิ้วกลม”ไปร่วมกับหน่วยงานต่างๆช่วยเหลือผู้ประสบภัยน้ำท่วมมาโดยตลอด
เขาไปพบกับประสบการณ์น่ารักมากมาย
อย่างครั้งนี้…
“วันนี้แวะไปที่บ้านตัวเอง ด้านนอกน้ำท่วมตาตุ่มแล้ว คาดว่ามีสิทธิถึงเข่า เห็นแล้วก็ตกใจ
ตอนบ่ายไปที่พุทธมณฑลสาย 2 เดินเข้าหมู่บ้านกับพี่ๆ หน่วยกู้ภัยอาสา “บอยทาร์ซาน” ระดับน้ำท่วมเอว
คุณน้าคนหนึ่งอพยพออกจากบ้าน เดินออกมาปากซอยด้วยกัน
ถามแกว่ารู้สึกยังไงบ้าง
แกบอกว่า “ไม่เป็นไร คนอื่นเขาลำบากกว่าเราเยอะ”
ส่วน”ประภาส ชลศรานนท์”นั้น นอกจาก”มุข”เรื่องน้ำท่วมแล้ว เขายังมีแง่คิดที่คมคายเช่นเดิม
“มีอยู่เพียงหกพยางค์เท่านั้นที่เป็นบทสรุปสำหรับชีวิต
ไม่ว่าจะกอดคอกันร้องไห้หรือร้องเพลงฉลองชัย
ไม่ว่าจะน้ำท่วมถึงไหล่หรือแห้งผากเป็นฝุนผง
….ชีวิตดำเนินต่อไป”
หรืออีกเรื่องหนึ่งที่งดงามยิ่งและเป็น”สัจธรรมชีวิต”ของคนที่ไม่ยอมแพ้
“ประภาส”ยกคำพูดของ”ผู้หญิง”คนหนึ่งเตือนใจทุกคน
ไม่ใช่คำพูดของ”ผู้หญิง”ที่เป็น”นายกรัฐมนตรี”
แต่เป็น”เมีย”คนขายก๋วยเตี๋ยว
“วันก่อนได้ยินอาเฮียคนขายก๋วยเตี๋ยวพูดกับเมียว่า “ประเทศไทยกำลังจะเจ๊งแล้ว”
คนในร้านฟังแล้วใจเสียกันหมด
ผมชอบที่อาซ้อตอบอาเฮียว่า “เจ๊งก็ตั้งตัวใหม่ได้”
“ประภาส”ตบท้ายด้วยการให้กำลังใจทุกคนไม่ว่าจะเป็นรัฐบาล กทม. กองทัพ และอาสาสมัครทุกคน
ผมชอบเรื่องนี้ของ”พี่จิก”ประภาสมาก
ครับ. สำหรับคนที่ไม่ยอมแพ้
“การเริ่มต้นใหม่”ก็เป็นเพียงก้าวหนึ่งของชีวิต
ไม่ใช่”ความพ่ายแพ้”
…………………………………
Lekh Says
วันนี้ไปตรวจสอบสภาพน้ำที่หน้าหมู่บ้านมา
รู้สึกจะลดไปประมาณ 2-3 เซ็นต์