ลุยน้ำกัน

Posted: พฤศจิกายน 26, 2011 in Uncategorized

วันนี้ไปที่เขตบางเขนมา

ไปเป็นเพื่อนญาติคนหนึ่งที่ต้องไปเดินเรื่องรับเบี้ยยังชีพผู้พิการให้กับลูก
เราลุยน้ำกันตั้งแต่หน้าหมู่บ้าน น้ำสูงประมาณหัวเข่า
พอเดินไปกลางๆถนนซึ่งเป็นที่สูงกว่าจึงได้เหยียบแค่น้ำเจิ่งๆ เลยข้อเท้าขึ้นมาประมาณหนึ่ง
รอบข้างตลอดทางยังเต็มไปด้วยสายน้ำ แต่รถวิ่งขวักไขว่เยอะขึ้น และเรือแล่นน้อยลง
เดินได้สักพักหนึ่งก็มีรถกระบะผู้ใจดี จอดรับและไปส่งถึงจุดหมายปลายทาง

ในบริเวณพื้นที่ของสำนักงานเขต ไม่มีน้ำท่วม มีแต่ผู้คนที่เยอะมากกว่าปกติ
ส่วนใหญ่มายื่นเรื่องรับเงินเยียวยา 5000 บาทจากอุทกภัย

เดินไปซักพักฉันสังเกตว่ามีคนจำนวนหนึ่งจับกลุ่มกันกำลังประกาศอะไรกันอยู่
พร้อมมีการชูป้ายประท้วง มีกล้องถ่ายรูป นักข่าว  และกล้องทีวีหลายช่องจับภาพอยู่
เข้าไปใกล้จึงรู้ว่าเป็นกลุ่มพี่น้องประชาชนมาชุมนุมเรียกร้อง ให้ช่วยดูแลชาวรามอินทราบ้าง
เพราะน้ำท่วมเป็นเดือนแล้วยังไม่ค่อยคลี่คลายเลย
ฉันก็เนียนๆเข้าไปดูสถานการณ์กับเขาด้วย และแอบเก็บภาพมานิดหน่อย

ช่วงขากลับลำบากกว่าขามา เพราะต้องเดินไกลกว่า..เพื่อไปให้ถึงวงเวียน
ซึ่งเป็นจุดศูนย์กลางสารพัดรถที่รอผู้โดยสาร และเป็นพื้นที่แห้งเนื่องจากเป็นเนินสูง
จะว่าไประยะทางไม่ไกลมาก แต่ด้วยเหตุที่น้ำเจิ่งนองมองไม่เห็นพื้นถนน
ประกอบกับรถบางคันทีวิ่งผ่านไปมาไม่ชลอความเร็วทำให้น้ำสาดกระเซ็นตลอดเวลา
ทำให้เราต้องเดินแบบระมัดระวังกันเต็มที่
ที่สำคัญฟุตบาทบางช่วงที่น้ำลดแล้วพื้นจะลื่นมากเป็นพิเศษจากคราบตะไคร่น้ำ
เราจึงจูงมือกันเดินและสลับกันลื่นปรู๊ดปร๊าดกันอยู่หลายครั้งหลายครา….(ฮา)

เมื่อถึงวงเวียน เราเจอจุดที่แจกถุงยังชีพ ก็เลยได้รับเอื้อเฟื้อมาคนละชุด
ประกอบด้วยข้าวสาร ปลากระป๋อง บะหมี่กึ่งสำเร็จรูป และอื่นๆ

จากนั้นเราก็ใช้บริการรถฟรีอีก เป็นรถสีเขียวคันสูงๆ
(ไม่ใช่รถทหาร แต่เป็นของหน่วยงานราชการแห่งหนึ่ง)
เวลาขึ้นรถเขาจะพาดบันไดให้ไต่ขึ้น ช่วงรถวิ่งก็เก็บบันได
เมื่อถึงที่หมายปลายทาง เขาก็ยกบันไดลงมาพาดให้เราไต่ลง
เราก็ขึ้นลงพร้อมแบกถุงยังชีพอย่างทุลักทุเล
แล้วเดินลุยน้ำข้ามกระสอบทรายเข้าหมู่บ้านแห้งๆของเราอย่างปลอดภัย

ข อ ข อ บ คุ ณ ทุ ก ท่ า น ที่ มี น้ำ ใจ มา ณ ที่ นี้

บันทึกกับความจำ

Posted: พฤศจิกายน 21, 2011 in Uncategorized

รักนะ

ตอนนี้ฉันมีบันทึกส่วนตัวอยู่เล่มหนึ่ง สามารถพกพาติดตัวไปไหนต่อไหนได้เสมอ
สามารถเพิ่มข้อความและใส่รูปได้ตลอดเวลาตามต้องการ
โดยไม่จำเป็นต้องพกปากกาหรือกระดาษ และไม่ต้องถือกล้องถ่ายรูปให้เกะกะ
บันทึกเล่มที่ว่านี้อยู่ในโทรศัพท์มือถือค่ะ เป็นโทรศัพท์มือถือที่มีกล้องถ่ายรูปในตัว
และมี Android apprication  ที่ชื่อว่า Moment Diary
ฉันไปโหลดจาก Android Market ไว้ในมือถือ (ฟรี)

https://market.android.com/details?id=com.utagoe.momentdiary&feature=more_from_developer#?t=W251bGwsMSwxLDEwMiwiY29tLnV0YWdvZS5tb21lbnRkaWFyeSJd

เมื่อใดก็ตามที่ต้องการบันทึกเรื่องหนึ่งเรื่องใด คุณก็เพียงพิมพ์ข้อความลงไป ถ่ายรูปเพิ่มเข้าไป
มันก็จะกลายไดอารี่หนึ่งหน้าที่มีภาพประกอบ
วันเวลาช่วงนั้นๆก็เหมือนจะอยู่กับเราเสมอทุกเมื่อ เมื่อเปิดอ่าน

(จริงๆแล้ว App เกี่ยวกับ ไดอารี่ในแอนดรอยด์มาร์เก็ตมีมากมาย
ให้เลือกโหลดแบบฟรีๆค่ะ แต่ฉันสุ่มๆเลือกMoment แล้วพึงพอใจ
ด้วยเหตุว่าใช้ง่านสะดวกและรูปแบบเรียบง่าย…)

ทุกเรื่องราวที่พิมพ์ในมือถือสามารถโอนไฟล์ลงคอมพิวเตอร์ได้ตามต้องการ
หรือถ้ายอมจ่ายเงินเพิ่มเพื่อซื้อแอพเสริม ก็สามารถออนไลน์ในโลกไซเบอร์ได้ทันที

แต่ฉันไม่ออนไลน์ค่ะ เพราะเป็นเรื่องส่วนตัวเล็กๆน้อยไม่ได้สำคัญอะไร
บางทีก็เป็นเรื่องเม้าท์ที่คุยกับใครไม่ได้ต้องคุยกับตัวเอง
เป็นความสุขใจของคนชอบบันทึก เมื่อยามเปิดอ่านย้อนหลัง สนุกดี

แต่รู้ไหม การพิมพ์ข้อความในมือถือ มันไม่ง่าย ไม่เร็ว และสะดวกเหมือนในคอมพ์
โดยเฉพาะช่วงแรก ด้วยความที่คีย์บอร์ดหน้าจอมือถือแต่ละแป้นเล็กนิดเดียว
นิ้วเราใหญ่กว่าทำให้พิมพ์ผิดๆถูกๆตลอดต้องคอยลบคอยแก้
แต่ทำบ่อยขึ้นก็พอจะมีความชำนาญมากขึ้น คล่องแคล่วขึ้น

แต่จะชำนาญแค่ไหน การพิมพ์ข้อความในมือถือก็ยังใช้เวลานานกว่าในคอมพ์อยู่ดี
ซึ่งตามทฤษฎีบอกว่าการที่เราได้ใช้เวลามากกว่าในการบันทึกเรื่องราวต่างๆ …
มันมีข้อดีคือทำให้สมองได้คิด ทำให้เราเรียบเรียงข้อความได้ดีกว่า…
และที่สำคัญจะกระตุ้นสมองให้จดจำเรื่องราวได้ดีมากขึ้นด้วย

แต่การพิมพ์ข้อความเงอะงะๆในมือถือแบบยาวนานไม่เสร็จซักที
จะกระตุ้นสมองได้เทียบเท่าการเขียนด้วยกระดาษและปากกาหรือเปล่านั้น ???
ยังไม่ได้ทดสอบตัวเองอย่างเป็นทางการเลยค่ะ รู้แค่ว่าทุกวันนี้ยังเบลอๆ ขี้หลงขี้ลืมเหมือนเดิม

มีส่วนหนึ่งทฤษฎีบทนี้มาฝากกันค่ะ
เป็นข้อมูลเปรียบเทียบการจดบันทึกด้วยมือและการพิมพ์ที่มีผลต่อความจำ..
เว็บไซต์สนุกนำมาลงไว้ เป็นข้อมูล จากนิตยสารลิซ่า

http://campus.sanook.com/936230/%E0%B8%88%E0%B8%94%E0%B8%94%E0%B9%89%E0%B8%A7%E0%B8%A2%E0%B8%A1%E0%B8%B7%E0%B8%AD-%E0%B8%88%E0%B8%B3%E0%B8%94%E0%B8%B5%E0%B8%81%E0%B8%A7%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B8%99%E0%B8%B1%E0%B9%88%E0%B8%87%E0%B8%9E%E0%B8%B4%E0%B8%A1%E0%B8%9E%E0%B9%8C/

เดี๋ยวนี้ใครๆ ก็มีมือถือหรือแท็บเล็ตเอาไว้เป็นออร์แกไนเซอร์ช่วยจำส่วนตัว
แต่ถ้าคุณอยากจะจำให้ฝังลงไปในสมองจริงๆ ลองหยิบปากกามานั่งจดอาจจะเวิร์กกว่านะ

โดยเมื่อเร็วๆ นี้ วารสาร Advance in Haptics ตีพิมพ์การศึกษาของสองนักวิจัยจากนอร์เวย์และฝรั่งเศส
ซึ่งชี้ว่าการเขียนด้วยมือและการพิมพ์บนคีย์บอร์ดนั้นต่างกันอย่างสิ้นเชิงในแง่การทำงานของสมอง
เพราะประสบการณ์ที่ได้สัมผัสปากกาหรือกระดาษจริงๆ จะหลงเหลืออยู่ในสมอง
มีการกระตุ้นสมองส่วนที่เรียกว่า Broca’s Area ช่วยให้เราสื่อสารและสำรวจสิ่งรอบๆ ตัว
และยังใช้เวลานานกว่าการพิมพ์ เราจึงเรียนรู้ได้มากกว่า
สาวๆ คนไหนอยากจำอะไรให้แม่นก็ลองจดๆๆๆ ดู ไม่เสียหายเนอะ

Lekh Says
น้ำจ๋าช่วยลดลงอีกเยอะหน่อย นะ นะ นะ

ฝันกับจริง

Posted: พฤศจิกายน 18, 2011 in Uncategorized

คนเราทุกวันนี้ใช้ชีวิตห่างไกลธรรมชาติมากขึ้นจริงๆ
มีตัวอย่างให้เห็นมากมาย อย่างเช่นผู้หญิงคนหนึ่งที่ฉันจะเล่าให้ฟังต่อไปนี้…

แต่ละวันของเธอคนนี้ออกจากบ้านเพื่อทำงานแต่เช้ากลับบ้านเอาเกือบค่ำ
เธอไม่เคยมีเวลาไปเดินเล่นสวนสาธารณะช่วงยามเย็น
(แล้วมันอยู่ไหนนะสวนสาธารณะ เธอถาม ?)
เธอไม่เคยวิ่งจ๊อกกิ้งออกกำลังกายเหมือนพระเอกนางเอกในละครเขาทำกัน…
(แล้วทำให้เขาได้เจอกันรักกัน)
เธอไม่ค่อยได้ชื่นชมดอกไม้ต้นไม้ใบหญ้าซักเท่าไหร่
แม้แต่ท้องฟ้าที่ดูเหมือนจะติดตามเธอไปทุกที่เธอยังแทบไม่เคยแหงนมอง

เมื่อมีเวลาว่างช่วงวันหยุด..
เธอก็ชอบไปเดินห้างสรรพสินค้า ไปอัพเดทกระแสของความทันสมัย
บางทีเธอก็ซื้อของไปเรื่อยเปื่อย หรือหาอะไรอร่อยๆกิน
(บางอย่างก็ไม่อร่อยหรอกค่ะแถมราคาแพง
แต่เราก็ใช้เวลาเป็นชั่วโมงกับการนั่งกินไปคุยไป เธอบอก !)
แม้จะรู้ว่าเป็นแค่เป็นการเอาเงินไปซื้อความสุขชั่วครู่ยาม แต่เธอก็ยังชอบที่จะทำ

ทุกครั้งที่เดินเข้าบ้านผู้หญิงคนนี้ก็แทบไม่เคยทักทายดอกไม้สวยๆ ต้นไม้ใบเขียวๆที่หน้าบ้าน
จนดอกไม้ที่เบ่งบานบางดอกน้อยใจแทบอยากจะร่วงหล่นจากต้นซะโดยเร็ว
(“ดูเธอซิ เดินผ่านๆเราไปอย่างเร็ว ราวกับว่าเร่งรีบซะเต็มประดา” ดอกโมกข์กลิ่นหอมบ่นกับดอกชวนชมสีสวย)

ทั้งที่เมื่อเข้าบ้าน เธอก็นั่งจ่อมอยู่หน้าคอมพ์จนลืมโลก หรือไม่ก็เปิดทีวีดูละครชวนฝัน
( “ทราบมาว่าตอนนี้เจ้าหล่อนกำลังชอบสายชลกับนางฟ้าค่ะ” เสียงจากทีวี LCD กระซิบผ่านลำโพง)
ดูเอาเถอะใช้เวลาแบบไร้สาระกับความบันเทิงที่ไม่มีแก่นสารอยู่ได้

ปัจจุบันผู้หญิงคนนี้น้ำหนักขึ้น เพราะไม่ค่อยออกกำลังกาย แถมกินมาก
เธอบอกว่าไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกันยิ่งอายุมากขึ้นยิ่งกินเก่ง
แถมชอบกินของหวานนานาชนิด เช่นเค้ก ช็อคโกแลต พวกจั๊งค์ฟู้ด
ต่างจากช่วงอายุน้อยซึ่งไม่มีของกินล่อตาล่อใจแบบนี้ทำให้ตอนนั้นเธอผอมบาง

เธอเริ่มใส่เสื้อผ้าไม่สวย เพราะความอ้วนที่สะสมตามหน้าท้อง ต้นขา ต้นแขน
การเคลื่อนไหวก็เชื่องช้าซึ่งเป็นไปตามวัยที่มากขึ้น ความเชื่อมั่นในตัวเองก็ถูกลดทอน
เธอควบคุมตัวเองให้ไปในทิศทางที่เธอต้องการไม่ได้เลย

แต่เธอบอกว่าก็ดีอย่างหนึ่ง ที่เธอเป็นโสด และไม่เคยใฝ่ฝันเรื่องมีคู่
จึงไม่ต้องแคร์ที่ใครจะมาเรียก “แก่ง่ายตายยาก” หรือถูกเบื่อหน่ายจากใคร

แต่อย่างไรก็ตาม…นี่ไม่ใช่ชีวิตในฝันที่เธอเคยคิดไว้
โดยส่วนลึกในใจเธอรักธรรมชาติ เธอย้ำ “รักธรรมชาติ”
เธอไม่ได้ชอบเทคโนโลยี่ หรือความสุขจอมปลอมพวกนี้
แต่กระแสสังคมมันพาเธอไป ทำให้เธอต้องอยู่ในวังวนเหล่านี้

เธออยากมีบ้านหลังเล็กๆตั้งบนเนินเขา ที่เต็มไปด้วยทุ่งหญ้า
ปลูกดอกไม้เต็มสวน มีลำธารเล็กๆไหลผ่าน
มีเพื่อนบ้านที่อยู่ไม่ไกลนัก แต่สนิทสนมกันดี มีครอบครัวที่แสนอบอุ่น
เมื่อมีเวลาว่างเธอจะนั่งทำงานเย็บปักถักร้อย จัดดอกไม้ใส่แจกันวางที่โต๊ะรับแขก และมุมบ้าน
ทำอาหารอร่อยๆหลายเมนูทั้งไทยและเทศให้คนในบ้านรับประทานอย่างอิ่มเอม
รายได้หลักที่มาจุนเจือครอบครัวจะต้องมาจากหัวหน้าครอบครัวที่มีความเป็นผู้นำที่อบอุ่น

( ข้อเท็จจริงคืองานฝีมือศิลปะเธอแย่มาก และทำกับข้าวได้ไม่กี่อย่าง
และเธอไม่ได้มีเสน่ห์มากพอที่จะหาใครมาตกหลุมรัก แล้วเสนอตัวเป็นหัวหน้าครอบครัวให้เธอได้
เธอจึงต้องทำงานตัวเป็นเกลียวและพยายามเก็บออมเพื่อยามแก่เฒ่าของตนเอง)

ความฝันต่อไปของเธอคือ..เธอจะเป็นผู้หารายได้เสริมเอง
จากการเขียนหนังสือซึ่งเป็นงานที่เธอชอบ
เพราะไม่ต้องลงทุนอะไรเป็นตัวเงิน แค่สะสมข้อมูลไว้ในสมองให้มากๆ
สะสมประสบการณ์ส่วนตัว รวมถึงความช่างจินตนาการเข้าไว้ด้วยกัน
แล้วหยิบทุกอย่างออกมาใช้ประโยชน์อย่างเหมาะสม
จากนั้นนำมาแปรรูปเรื่องราวเป็นตัวอักษรบนกระดาษ จับเรียงไปเรียงมาให้สละสลวยสวยงาม
แล้วจัดส่งทางไปรษณีย์ไปสำนักพิมพ์ ซึ่งจะตีพิมพ์งานของเธออย่างต่อเนื่อง
เธอจะได้ธนาณัติจากผลงานประพันธ์ของเธอเดือนละ 2 ครั้ง ทำให้เธอปลื้มใจในความสามารถตัวเอง
(ข้อเท็จจริงคือเธอเขียนหนังสือไม่เก่งแถมขี้เกียจฝึกฝนอีกต่างหาก
การเขียนหนังสือหรือเขียนอะไรให้คนอ่านสนุกและได้สาระไม่ได้ง่ายอย่างที่คิด)

ดูเอาเถอะชีวิตในฝันกับชีวิตในความจริงของเธอต่างกันมาก
เธอไม่โทษตัวเอง เธอไม่ได้เป็นฝ่ายผิด เทคโนโลยีที่ก้าวหน้านั่นต่างหากที่ผิด
มันทำให้ชีวิตเธอสะดวกสบายเกินไป มันทำให้เธอลืมหันหาธรรมชาติ
มันทำให้ความฝันของเธอห่างไกลออกไปทุกที ไม่มีทางจะเป็นความจริงได้อีกแล้ว
มันทำให้เธอต้องอยู่ในวังวนนี้ต่อไป มันทำให้เธอต้องเป็นแบบนี้ มันทำให้เธอ……

(หมายเหตุ เรื่องที่เขียนมาทั้งหมดเป็นเพียง จินตนาการเท่านั้น
หากจะไปกระทบกระเทือนใครต้องขออภัยด้วย เอ…ทำไมฉันรู้สึก ร้อนๆ ตัวยังไงบอกไม่ถูก)

แรงบันดาลใจของเอนทรี่นี้ได้มาจากการอ่านบทความจากเว็บไซต์หนังสือพิมพ์ข่าวสด
http://www.khaosod.co.th/view_news.php?newsid=TURObWIzSXdOVEV5TVRFMU5BPT0=

เมื่อเร็วๆ นี้ นักวิชาการฝรั่งรายหนึ่งออกมาให้ความรู้เกี่ยวกับความเครียดของคนในสังคมศตวรรษที่ 21 ว่า
ความเครียดของเราทุกวันนี้เกิดขึ้นจากการดำรงชีวิตอยู่ห่างจากธรรมชาติมากเกินไป
คนส่วนใหญ่ในวันนี้มีความสุข หรือพึงพอใจต่อสิ่งต่างๆ น้อยลง ทั้งนี้เพราะเครียดไปได้สารพัดเรื่อง
ร่างกายของคนเรานั้นไม่ได้ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อรองรับการดำรงชีวิตแบบสังคมเทคโนโลยีเช่นทุกวันนี้

เช่น การเอาแต่นั่งทำงานอยู่แต่ในห้องแอร์ กินแต่อาหารแปรรูป ย่อมมีผลกระทบทั้งต่อสมองและอารมณ์
โดยเฉพาะการจมอยู่กับข้อมูลสารพันจากอินเตอร์เน็ต อีเมล์ โทรศัพท์มือถือ หรือมัลติมีเดียรอบตัว
ล้วนแล้วแต่ทำให้เราเปลี่ยนพฤติกรรมไปในที่สุด เราจะอยู่ตามลำพัง คุยกับผู้อื่นน้อยลง
ซึ่งมีผลอย่างแน่นอนต่ออารมณ์และสุขภาพ

ดังนั้น การแก้เครียดอย่างง่ายๆ คือ การออกไปหาธรรมชาติให้มากขึ้น
ซึ่งไม่ได้หมายถึงการออกไปชื่นชมธรรมชาติด้วยการจ่ายเงินก้อนโต
แต่หมายถึงการออกไปทำงานอื่นนอกบ้านบ้าง ไม่ใช่เอาแต่นั่งอยู่ในห้องหรู
หน้าจอคอมพ์ราคาแพง เสพข่าวสาร หรือรายการบันเทิงตลอดวัน
นาฬิกาชีวิตของคนเราก็จะสับสนหากเช้ายันดึกเราอยู่กับแสงจากหลอดไฟตลอด
เพราะร่างกายและสมองไม่รู้แน่ว่าเมื่อใดควรตื่น เมื่อใดควรหลับ ฯลฯ

โดยสรุปแล้ว ชีวิตต้องใกล้ชิดกับธรรมชาติ อยู่กับเสียงธรรมชาติ สายลม เสียงน้ำไหล แสงแดด และความมืดบ้าง
การเปลี่ยนแปลงใดๆ หากจะมีก็ปล่อยให้มันค่อยๆ มีวิวัฒนาการไป แล้วทั้งชีวิตเรา และธรรมชาติจะอยู่ร่วมกันได้ด้วยดี

Lek says
น้ำลดลงอีกนิดหน่อย…
ถ้าต่ำกว่านี้อีกนิด จะยอมลุยน้ำไปทำงานแล้วล่ะ
ตอนนี้ 47 ซม โดยประมาณ

ด้านดีก็มี

Posted: พฤศจิกายน 16, 2011 in Uncategorized

จากเหตุการณ์น้ำท่วมกรุงเทพในครั้งนี้
อาจเป็นประสบการณ์อันย่ำแย่ที่เกิดขึ้นในช่วงชีวิตหนึ่งของคนหลายคน
รวมทั้งฉันเองด้วย ที่ไม่เคยเผชิญมาก่อน
แม้ไม่ได้ท่วมเข้ามาในบ้าน เพราะระบบการป้องกันอย่างเข้มแข็งของคนในหมู่บ้านนี้
แต่ชีวิตส่วนตัวก็ได้รับผลกระทบเต็มๆเช่นกัน
เดินทางไปทำงานไม่ได้ รายได้ขาดหายไป
ต้องอยู่โยงเฝ้าบ้านติดเกาะมาจะเป็นเดือนแล้ว
แต่ก็ไม่ได้ด่าทอหรือโกรธโทษใคร
เพราะคนที่ลำบากกว่าเรา เหนื่อยกว่าเรา เดือดร้อนกว่าเรายังมีอีกมาก มาก…จริงๆ
เราเพียงปรับใจ ปรับกายไม่ให้ทุกข์หรือจิตตก
มองกลับด้านไปอีกแบบหนึ่ง เป็นโอกาสที่เราจะได้พักผ่อนอย่างเต็มที่
ทำตัวขี้เกียจไปวันๆ (ซึ่งปกติก็เป็นคนแนวนี้อยู่แล้ว )ความรู้สึกก็จะดีขึ้น….

ส่วนด้านดีอีกอย่างของอุทกภัยในครั้งนี้
โดยส่วนตัวของฉันคือได้เรียนรู้เรื่องภูมิศาสตร์ของกรุงเทพและปริมณฑลมากขึ้น
ตามประสาคนที่ไม่ค่อยได้ไปไหน ไม่รู้ทิศรู้ทางอย่างฉัน
ไม่ค่อยจะรู้นักหรอกว่า ตะวันตก ตะวันออกของกรุงเทพคืออะไร
เดินทางไปทางไหนจะเป็นจังหวัดอะไร
แม่น้ำอะไร คลองทางนั้นชื่ออะไร..
ตอนนี้ก็เลยพอจะรู้ขึ้นมาบ้าง จากการติดตามดูข่าวอ่านข่าว

ฉันเคยได้เรียนรู้มาอยู่แล้วว่าวิถีชีวิตคนไทยในอดีตผูกพันอยู่กับน้ำมาแต่ไหนแต่ไร
จนกรุงเทพเคยได้ฉายาว่า เวนิสตะวันออก
แต่ปัจจุบันเรากลับห่างเหินสายน้ำมาก คลองหลายคลองถูกถมเพื่อสร้างเป็นถนน
บางคลองที่พอจะมีน้ำอยู่ก็เน่าเหม็น ตื้นเขิน ขาดการใส่ใจดูแล
หลายพื้นที่ซึ่งเป็นที่ลุ่ม ก็มีบ้านจัดสรรขึ้นเต็ม มีนิคมอุตสาหกรรม มีโรงงาน
เมื่อมีอุทกภัยใหญ่เกิดขึ้น กับมวลน้ำมหาศาลไหลทะลักเข้ามา
การระบายน้ำจึงทำได้ไม่เต็มที่ การแก้ปัญหาจึงสะดุดตลอดเวลา

และที่สำคัญที่สุด กรุงเทพเมืองหลวงของเราที่แท้ก็คือฟลัดเวย์
เป็นทางที่น้ำควรจะไหลผ่านเพื่อลงสู่ทะเล…
แต่น้ำปริมาณมหาศาลจากอุทกภัยครั้งนี้ไม่สามารถผ่านได้
เพราะจะส่งผลต่อภาพลักษณ์ เศรษฐกิจ และศูนย์กลางของประเทศ
ทำให้น้ำรอบๆกรุงเทพ หรือกรุงเทพชั้นนอกต้องแบกน้ำกันไว้ต่อไว้อีกนาน
เพื่อรักษาหัวใจของประเทศไว้
ปัญหาต่างๆจึงยืดเยื้อเรื้อรังมาจนบัดนี้

ฉันเคยคิดเล่นๆว่าเราน่าจะมีการจัดผังประเทศกันใหม่ได้แล้ว
เพราะการจัดผังเมืองในกรุงเทพมันคงทำไม่ได้
ฉันเห็นบางประเทศเขาแยกเมืองหลวง กับเมืองธุรกิจออกจากกัน
ผู้คนไม่จำเป็นต้องมาความแออัดยัดเยียดเบียดเสียดรวมกันอยู่ในที่เดียวกัน
ประเทศเราควรจะมีความเจริญกระจายไปหลายๆที่

เดี๋ยวนี้เทคโนโลยี่ก้าวหน้ามาก
การสัญจรไปมาก็ไม่ลำบาก
การติดตามข่าวสารทันสมัยก็ไปเร็วกระจายไปได้ทั่วประเทศ
ก็ขอให้ความเจริญกระจายไปแบบนั้นบ้าง

Lekh Says
ไปดูน้ำมาอีกแล้ว น้ำลดลงนิดนึ่ง นิ๊ดเดียวจริงๆ

น้ำยังท่วมอยู่ค่ะ

Posted: พฤศจิกายน 14, 2011 in Uncategorized

ซึ่งผิดฤดูกาลอย่างแรงในช่วงพฤศจิกายนในเขตภาคกลางแบบนี้
เพราะมันควรจะเป็นหน้าหนาว ที่ผิวต้องแห้ง อากาศต้องเย็น ไม่ใช่ต้องชื้นเพราะมีน้ำล้อมรอบอย่างนี้
แล้วกรุงเทพจะมีลมหนาวโบกโบยมาเมื่อไหร่นะ
ท่านผู้ว่าฯบอกว่า”กว่าน้ำจะลดหมดจากกทม.ก็น่าจะเป็นช่วงปลายปี”
ถือว่าเป็นของขวัญปีใหม่ให้กับพี่น้องประชาชนคนกรุงเทพก็แล้วกัน …
แหมขอบคุณมากเลยค่ะทั่น แต่ เอ่อ ขอของขวัญเร็วกว่านั้นอีกซักนิ๊ดได้ไหมคะ

ฉันเลยขอเดาว่าช่วง 2 เดือนนี้คือ พย และ ธค อากาศน่าจะไม่หนาว
เพราะฤดูกาลเขาคงสับสนอยู่เหมือนกัน
ด้วยเหตุที่ว่ากรุงเทพปริมณฑลฝนไม่มีซักหยด
แต่น้ำก็ยังอุตส่าห์ท่วมเอ๊า ท่วมเอา ไม่ยอมลด
ลมหนาวก็เลยไม่กล้าพัดมากลัวผิดฤดูกาล (ฮา)
หน้าหนาวของเราก็อาจหายไปฟรีๆ  2 เดือน
(เอาหน้าหนาวที่แสนโรแมนติกของช้านคืนมา ฮือ ฮือ)

จะว่าแปลกก็แปลกนะ ฝนไม่ตกแต่น้ำท่วม
ทำให้นึกย้อนไปถึงช่วงเดือนมีค หรือ เมษาที่ผ่านมา
ซึ่งน่าจะเป็นเวลาของซัมเมอร์ที่อากาศร้อนจัด
กลับกลายเป็นว่าในปีนี้มีอากาศหนาวจัดอยู่หลายวัน
เล่นเอางง สาดน้ำสงกรานต์ไม่ออกกันเลยทีเดียว
( อ้อ เท่าที่จำความได้ช่วงสงกรานต์ฝนก็ตกอีกต่างหาก)

แต่จะว่าไม่แปลกก็ไม่แปลกหรอก เพราะความแปรปรวนของอากาศแต่ละครั้ง
เขามีหลักการทางวิทยาศาสตร์มาอธิบายครบแล้ว
เช่นปีนี้น้ำมากเหลือเกินเพราะ…มีพายุพัดมา 5 ลูกติดต่อกันมาอย่างไม่ลดละ
ประกอบกับการเก็บน้ำในเขื่อนที่ไม่ได้มีการระบายออกก่อนหน้านี้
ทำให้รวมตัวกันกลายเป็นมวลน้ำมหาศาล
ประกอบกับการบริหารจัดการน้ำของรัฐบาลที่ไม่มีประสิทธิภาพเพียงพอ
ทำให้ท่วม ท่วม ท่วม ไปซะทุกทิศทุกที่

ส่วนอากาศเย็นที่เย็นผิดเวลาทำให้หนาวเหน็บอยู่หลายวันช่วงเดือนมีนาคม-เมษายน
ผู้สันทัดกรณีก็อธิบายว่า คือความกดอากาศสูงอุณหภูมิต่ำแผ่ปกคลุมลงมาลึกเกินไป
ซึ่งปกติเขาจะแผ่ของเขาอยู่แล้ว แต่จะถึงแค่เหนือหรืออีสาน
แล้วแปรร่างกลายเป็นพายุฤดูร้อน
แต่ครั้งนี้ ความกดอากาศที่ว่าเขาเกิดขยัน แผ่ …เข้ามาลึกเกินไปถึงภาคกลาง
กรุงเทพและภาคกลางก็เลยอากาศเย็นค่ะ และทางใต้ก็ฝนตกหนักด้วยทั้งที่เป็นหน้าร้อน
เห็นไหม ได้ฟังเหตุผลก็คงพอเข้าใจถึงสาเหตุและความเป็นมา

แต่ไม่ว่าจะมีแม่น้ำทั้งห้ายกมาอธิบายซักกี่สายกี่หลักการก็ตาม
ฉันก็ตระหนักในใจขึ้นมาว่า อะไรก็ตามที่ไม่เคยเกิด ก็สามารถเกิดขึ้นได้แล้วในนาทีนี้
โดยเฉพาะภัยธรรมชาติที่รุนแรง
และไม่แน่ อนาคตอาจมีอะไรที่ร้ายแรงมากกว่านี้อีกก็เป็นได้
เหล่ามนุษยชาติทั้งหลายเตรียมรับมือกันให้ดีเถอะ

Lek says ไปสำรวจน้ำหน้าหมู่บ้านมาอีกแล้ว
น้ำลดลงนิดเดียวเอง อือม์ แต่ก็ยังดีกว่าไม่ลดเนอะ
รีบๆลดนะคะ น้องน้ำ อยากสัมผัสลมหนาวแล้วล่ะ

โซเชี่ยลเน็ตเวิร์ค

Posted: พฤศจิกายน 8, 2011 in Uncategorized

โซเชี่ยลเน็ตเวิร์คมีความสำคัญกับคนกทมพอสมควรในสภาวะน้ำท่วมแบบนี้
มีการรวมกลุ่มกันในเว็บไซต์ต่างๆเพื่ออัพเดทข้อมูลกัน ว่าในย่านนั้นแถบนี้น้ำไปถึงไหนกันแล้ว
มีภาพประกอบ มีคลิปให้ชม เป็นประโยชน์กับผู้อ่าน และเป็นความอิ่มใจของผู้โพสต์
ที่ได้สร้างคุณค่าให้กับผู้ร่วมชะตากรรมยามน้ำท่วม

แต่บางสิ่งที่มีคุณอนันต์ ยามเป็นโทษก็อาจมีโทษมหันต์
มีข่าวลือข่าวปล่อย เพื่อหวังทำลาย หรือหวังสร้างคุณค่าเกินจริงก็มากเหมือนกัน
ผู้เสพย์ Social Network ก็ต้องใช้ความระมัดระวังด้วย

คนดังบางคนใช้ โซเชี่ยลเน็ตเวิร์คในการระบายอารมณ์ สร้างกระแส ด่าทอ
อาจด้วยความกดดัน ความเครียด อารมณ์ชั่ววูบหรือความเกลียดเป็นทุนเดิม…
ก็เป็นเหตุผลได้ทุกอย่าง

แต่เมื่อกระทำลงไปแล้ว
ต้องยอมรับกับผลของมัน
เพราะอาจมีคนเห็นด้วยกับคนดังคนนั้นแห่แหนเข้ามาเชียร์ ชื่นชมเป็นฮีโร่
แต่ในทางกลับกันก็อาจมีอีกฝ่ายที่เกลียดชังคุณเช่นกัน
มันคุ้มกันไหมถ้าคุณที่ได้ชื่อว่าเป็น “คนของประชาชน”
คุณจะเป็นคนของประชาชนแค่กลุ่มหนึ่ง
แต่อีกกลุ่มหนึ่งซึ่งอาจพอๆกันหรือมากกว่า เขาเกลียดคุณราวกับอุนจิ

เก็บความอารมณ์เกลียดไว้ดีกว่า อย่างมากก็ระบายกับคนใกล้ตัวก็พอ
เพราะ โซเชี่ยลเน็ตเวิร์คเป็นสื่อที่เร็วแรงเกินกว่าจะควบคุมได้
สังคมยุคนี้ยังแบ่งสี มีคนพร้อมกับรักพวกเดียวกันเพิ่มขึ้น
และพร้อมจะเกลียดฝ่ายตรงข้ามได้ตลอดเวลา
มันไม่คุ้มกันหรอกกับการหวังเพียงแค่ระบายอารมณ์

นอกจากคุณไม่คิดจะเป็นคนของประชาชนแล้ว
นั่นก็อีกเรื่องหนึ่ง

ฉันมีบทความมุมบวกที่ใช้ Social Network เช่นกัน
อ่านแล้วประทับใจในช่วงวิกฤตน้ำท่วม
อยากจะบันทึกไว้ที่นี่…..
ขอบคุณทั้ง 3 ท่าน ที่อยู่ในคอลัมน์ “หนุ่มเมืองจันทร์” และขอบคุณ มติชนด้วย

 

http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1320668770&grpid=01&catid=&subcatid=

 

คนเราจะสุขจะทุกข์อยู่ที่มุมมองและวิธีคิด จริงๆ

เริ่มกันเลยค่ะ

…………………………………………………………………..

มุมมองน่ารักเรื่อง “น้องน้ำ” จาก

“ตัน ภาสกรนที-ประภาส ชลศรานนท์” และ “นิ้วกลม”

วันที่ 07 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554 เวลา 22:00:00 น
“หนุ่มเมืองจันท์”
ในเฟซบุ้คของคนดัง 3 คน “ตัน ภาสกรนที-ประภาส ชลศรานนท์”และ”นิ้วกลม” ก็เหมือนกับเฟซบุ้คทั่วไปในช่วงนี้ คือเขียนถึงเรื่อง”น้ำท่วม”
แต่ละคนก็มีแง่มุมแตกต่างกัน
ที่เหมือนกันก็คือ แง่มุมที่คมคายและการให้กำลังใจ
เริ่มจาก”ตัน”
หลังโรงงานอิชิตันที่นิคมอุตสาหกรรมโรจนะ เจอ”น้องน้ำ”มาเยือน
“ตัน”เขียนเรื่อง”สำนึกและความเกรงใจ”ลงในเฟซบุ้คของเขา
“ไม่มีใครสามารถสกัดกั้นธรรมชาติได้ น้ำมาแล้วมันก็ต้องมีที่ให้ไป มาเร็วก็ไปเร็ว
ขอให้ชาวกรุงเทพยอมรับและทำใจให้อยู่กับความเป็นจริง..เรายังไม่ได้เศษเสี้ยวความทุกข์ของคนต่างจังหวัด…เตรียมตัวรับมือให้พร้อมครับ
โลกพยายามเตือนเราหลายครั้งว่าเขาทนไม่ไหวแล้ว บางครั้งพูดเสียงเบาๆ
ผ่านปรากฎการณ์ธรรมชาติที่ผิดเพี้ยนขึ้นทุกวัน
บางครั้งตะโกนดังๆ ผ่านเหตุการณ์แผ่นดินไหว มหันตภัยน้ำท่วม พายุทอร์นาโด ฯลฯ
แต่เราไม่ได้ยิน หรือ…แกล้งทำเป็นไม่ได้ยิน
ถ้าเรายังนิ่งเฉยต่อเสียงตะโกนของโลก วันหนึ่งโลกคงต้องทวงคืนทุกสิ่งที่เขาให้เรามา  ยิ่งเราใช้ทรัพยากรอย่างไม่เกรงใจธรรมชาติ ธรรมชาติก็จะยิ่งเอาคืนจากเราเท่านั้น
ความเกรงใจนี่สำคัญมากนะครับกับการอยู่ร่วมกันของทุกสรรพสิ่งบนโลกกลมๆใบนี้
ไม่ว่าจะอยู่ร่วมในองค์กร อยู่ร่วมกันในครอบครัว และสังคม”
คำเตือนคนกรุงเทพของ”ตัน”เมื่อประมาณ 1 เดือนที่ผ่านมา
วันนี้เป็นจริงแล้ว
ขีดเส้นใต้อีกครั้ง
“ขอให้ชาวกรุงเทพยอมรับและทำใจให้อยู่กับความเป็นจริง..เรายังไม่ได้เศษเสี้ยวความทุกข์ของคนต่างจังหวัด…เตรียมตัวรับมือให้พร้อมครับ”
ส่วน”นิ้วกลม”นั้น มีแง่มุมน่ารักและน่าคิด
 เริ่มจากเขียนเรื่อง“ความสามารถในการปรับตัวของมนุษย์์”
 “วันแรก…ขอให้ไม่ท่วมบ้านของเราด้วยเถิ้ด
 วันที่สอง…เอาวะ ท่วมก็ไม่เป็นไร ขอให้รถยังวิ่งได้ด้วยเถิ้ด
วันที่สาม…ไม่มีรถก็ไม่เป็นไร ขอให้อย่าเข้าบ้านเราเลยเถิ้ด
วันที่สี่…เข้าบ้านก็ไม่เป็นไร ขอให้อย่าเกินเอวเลยเถิ้ด
วันที่ห้า…เกินเอวก็ช่างมัน ขอให้อย่าถึงชั้นสองเลยเถิ้ด
วันที่หก…ถึงชั้นสองก็ปลงได้แล้วแหละ ขออย่าให้ท่วมนานเลยเถิ้ด
วันที่เจ็ด…ท่วมนานก็ไม่เป็นไร เอาน่า อย่างน้อยเราก็ยังรักษาชีวิตไว้ได้”
ก่อนจะสรุปว่า“ดูหมือนน้ำค่อยๆ จัดลำดับสิ่งสำคัญในชีวิตของเราไปตามระดับน้ำที่ค่อยๆ สูงขึ้น”
อีกเรื่องหนึ่งที่น่ารัก เป็นเรื่องที่เขาได้พบคนพา”น้องหมา” หนีน้ำ
“บางคนบอกว่า ถึงเวลาน้ำท่วมแบบนี้ หมาแมวเป็นภาระ แต่เวลาที่ได้เห็นผู้คนเดินลุยน้ำเท่าเอวแล้วลากแพที่ให้บรรดาหมาๆ ทั้งหลายยืนแห้งอยู่บนแพก็รู้สึกว่าพวกเขาเป็นเจ้าของที่น่ารักดีจริงๆ
เมื่อเราทักคุณพี่คนหนึ่งว่า “ดีนะพี่ ไม่ทิ้งมัน”
แกก็ตอบว่า “โอย ไม่ทิ้งหรอก เลี้ยงมันแล้ว มันก็เป็นครอบครัวเราเหมือนกัน ทิ้งกันไม่ได้หรอก
ในเวลาน้ำท่วม สิ่งที่เป็น “ภาระ” ก็คือสิ่งที่เรา “รัก” นั่นเอง”
ในขณะที่ทุกคนมองแค่ความทุกข์ในวันนี้ “นิ้วกลม”มองไกลไปในอนาคตว่าวันหนึ่งทุกคนคุยกับเรื่องวันนี้.
บางทีความรู้สึกของแต่ละคนต่อ”วันนี้”อาจพลิกเปลี่ยนไป
“คิดเล่นๆ แบบเพี้ยนๆ ว่า อีกสิบปีข้างหน้า พอเพื่อนๆ นั่งล้อมลงคุยกันถึงน้ำท่วมใหญ่ปี 54 อย่างเมามัน
วันนั้นคนที่ไม่โดนน้ำท่วมจะเซ็งๆ นิดหน่อย เพราะไม่มีเรื่องเล่าว่าตอนนั้นเป็นไงบ้าง และพูดออกมาแบบจ๋อยๆ ว่า
“บ้านกูไม่โดนว่ะ ชีวิตปกติมากเลย” 
แล้วก็ได้แต่นั่งฟังเพื่อนๆ เล่าอดีตอันโหดร้ายอย่างสนุกสนานอยู่เงียบๆ”
(ฮ่าฮ่า เป็นการปลอบใจตัวเองซึ่งโดนน้ำท่วมไปพลางๆ)
ช่วงที่ผ่านมา”นิ้วกลม”ไปร่วมกับหน่วยงานต่างๆช่วยเหลือผู้ประสบภัยน้ำท่วมมาโดยตลอด
เขาไปพบกับประสบการณ์น่ารักมากมาย
อย่างครั้งนี้…
“วันนี้แวะไปที่บ้านตัวเอง ด้านนอกน้ำท่วมตาตุ่มแล้ว คาดว่ามีสิทธิถึงเข่า เห็นแล้วก็ตกใจ
ตอนบ่ายไปที่พุทธมณฑลสาย 2 เดินเข้าหมู่บ้านกับพี่ๆ หน่วยกู้ภัยอาสา “บอยทาร์ซาน” ระดับน้ำท่วมเอว
คุณน้าคนหนึ่งอพยพออกจากบ้าน เดินออกมาปากซอยด้วยกัน
ถามแกว่ารู้สึกยังไงบ้าง
แกบอกว่า “ไม่เป็นไร คนอื่นเขาลำบากกว่าเราเยอะ”
ส่วน”ประภาส ชลศรานนท์”นั้น นอกจาก”มุข”เรื่องน้ำท่วมแล้ว เขายังมีแง่คิดที่คมคายเช่นเดิม
“มีอยู่เพียงหกพยางค์เท่านั้นที่เป็นบทสรุปสำหรับชีวิต
 ไม่ว่าจะกอดคอกันร้องไห้หรือร้องเพลงฉลองชัย
ไม่ว่าจะน้ำท่วมถึงไหล่หรือแห้งผากเป็นฝุนผง 
 ….ชีวิตดำเนินต่อไป”
หรืออีกเรื่องหนึ่งที่งดงามยิ่งและเป็น”สัจธรรมชีวิต”ของคนที่ไม่ยอมแพ้
“ประภาส”ยกคำพูดของ”ผู้หญิง”คนหนึ่งเตือนใจทุกคน
 ไม่ใช่คำพูดของ”ผู้หญิง”ที่เป็น”นายกรัฐมนตรี”
แต่เป็น”เมีย”คนขายก๋วยเตี๋ยว
“วันก่อนได้ยินอาเฮียคนขายก๋วยเตี๋ยวพูดกับเมียว่า “ประเทศไทยกำลังจะเจ๊งแล้ว”
คนในร้านฟังแล้วใจเสียกันหมด
ผมชอบที่อาซ้อตอบอาเฮียว่า “เจ๊งก็ตั้งตัวใหม่ได้”
“ประภาส”ตบท้ายด้วยการให้กำลังใจทุกคนไม่ว่าจะเป็นรัฐบาล กทม.  กองทัพ และอาสาสมัครทุกคน
ผมชอบเรื่องนี้ของ”พี่จิก”ประภาสมาก
ครับ. สำหรับคนที่ไม่ยอมแพ้
“การเริ่มต้นใหม่”ก็เป็นเพียงก้าวหนึ่งของชีวิต
ไม่ใช่”ความพ่ายแพ้”

…………………………………

Lekh Says

วันนี้ไปตรวจสอบสภาพน้ำที่หน้าหมู่บ้านมา
รู้สึกจะลดไปประมาณ 2-3 เซ็นต์

ติดเกาะ

Posted: พฤศจิกายน 7, 2011 in Uncategorized

เพิ่งได้ตระหนักว่าชีวิตติดเกาะมันเป็นแบบนี้
จะไปไหนมาไหนก็ไม่ได้ เพราะรอบข้างล้อมรอบไปด้วย น้ำ น้ำ และ น้ำ
แถมต้องอยู่อย่างนี้มาเป็นอาทิตย์แล้ว
แต่ก็… นะ ยังดีกว่าคนที่ถูกน้ำท่วมบ้าน เขาคงลำบากมากมายกว่าเราหลายเท่า

ภาพโดยรวม ที่นี่ทุกอย่างยังคงสะดวกสบายดีอยู่
ไม่ขัดสน ไม่ขาดแคลน

ยังมีร้านอาหารตามสั่ง แม้เมนูจะมีรายการน้อยลงหน่อย
แต่ก็ยังทำให้ท้องอิ่มได้ทุกมื้อ

ยังมีร้านโชว์ห่วยของหมู่บ้านที่หาซื้อของจำเป็นได้บ้าง
และยังมีห้างอยู่ข้างหมู่บ้านที่ยังไม่ปิดบริการ แม้น้ำจะท่วมเข้าถึงชั้น 1
แต่ด้วยความที่เขาถมที่ไว้สูง ทำให้น้ำชั้น 1 น้ำสูงเพียงไม่ถึงตาตุ่ม
ทางห้างเรียงสะพานไม้เป็นทางเดินไปถึงบันไดเลื่อน
นักช้อปก็เดินได้อย่างสบายใจ
แต่ช่วงเวลาของเปิดบริการจำกัดถึงแค่ 6 โมงเย็น
แต่นั่นไม่สำคัญเท่ากับ สินค้าในห้างน้อยมั่ก มัก ค่ะ

ใครอยากลุยน้ำเล่น ก็หาข้ออ้างไปซื้อของที่นี่ ก็จะได้ฝ่าสายน้ำสมใจ
( เดี๊ยนรับรอง เพราะทำมาแล้ว )

ว่างๆฉันก็แวะไปดูน้ำที่ท่วมอยู่ด้านนอกหน้าคันกั้นที่หน้าหมู่บ้านว่าลดลงบ้างหรือยัง
อือม์ แต่แปลกนะคะ ตอนน้ำมาใช้เวลา 1-2 วัน จากตาตุ่ม ขึ้นหน้าแข้ง
แป๊ปเดียวมาเกือบถึงตะโพก จากนั้นขึ้นทีละนิดละหน่อย

ตอนนี้น้ำเริ่มทรง และลดลงบ้าง
(ไม่รู้ว่าจากอิทธิพลพี่เบิ้มบิ๊กแบ็กหรือเปล่า)
แต่ลดลงน้อยมากๆ วันละเซ็นต์ 2 เซ้นต์
อย่างนี้ไม่รู้เมื่อไหร่จะแห้งเสียที

น้องชายฉันก็เดินทางไปทำงานตั้งแต่เช้า

เนื่องจากที่ทำงานอยู่ในเมือง น้ำไม่ท่วม
และคนทำงานที่นั่นหลายคนถูกน้ำท่วม ก็อพยพครอบครัวไปอยู่ที่ทำงาน
กลายเป็นศูนย์พักพิงไป ทำให้เขายังตอกบัตรทำงานกันได้ทุกวัน
ส่วนน้องชายฉันน้ำท่วม (หน้าบ้าน)ไม่ได้ไปหลายวันแล้ว ทำให้รู้สึกผิด
เลยต้องไปเป็นหนึ่งในผู้อพยพศูนย์พักพิงเหมือนกัน

ฉันเชื่อว่าทุกอย่างที่เลวร้ายมันต้องผ่านไปซักวัน
ขอแค่อยากให้คนไทยอดทน รักกัน และสามัคคี
เป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน ฝ่าวิกฤตไปด้วยกัน

แต่ดูแล้วคงเป็นไปได้ยาก
ยิ่งมีวิกฤตเกิดขึ้น เรายิ่งเห็นความแตกแยก
หรือเพราะการแบ่งฝ่ายมันร้าวลึกเกินกว่าจะเยียวยาเสียแล้ว

ร่วมใจน้ำไม่ท่วม

Posted: พฤศจิกายน 6, 2011 in Uncategorized

.

ปีนี้เป็นปีที่น้ำท่วมหนักมากจากต่างจังหวัดเข้าสู่กรุงเทพมหานคร
ย่านนี้เป็นด่านหน้าส่วนหนึ่งของน้ำที่จะต้องผ่านมา
ในหมู่บ้านนี้จึงมีการป้องกัน ร่วมมือร่วมใจกันตั้งกระสอบทราย
และเครื่องสูบน้ำ โดยวิธีสูบจากท่อ และมีจิตอาสาหลายคนร่วมกันดูแล
ถึงนาทีนี้แม้รอบข้างจะท่วมไปหมดแล้ว แต่ภายในหมู่บ้านยังแห้ง

เราไม่รู้ว่าวันข้างหน้าจะเป็นอย่างไร ถ้ามีน้ำมาหนักๆอีกจะรับมือได้ไหม
แต่นาทีนี้บอกได้เลยว่าที่นี่ไม่ท่วมเพราะการช่วยเหลือกันและการวางแผนที่ดี

หากเราแต่ละบ้านต่างฝ่ายต่างกั้นในบ้านตัวเองแบบตัวใครตัวมัน
ป่านนี้ทุกบ้านคงท่วมกันหมดแล้ว
เพราะน้ำนอกคันกั้นสูงเกือบ 60-70 ซม. มันสูงเกินกว่าที่แต่ละบ้านกั้นไว้อีก

แต่เมื่อเราช่วยกันก่อทราย ทำถุงทราย ดูแลกำแพงที่ร้าวรั่ว
เหน็ดเหนื่อยกันมาก เราไม่ต้องกั้นที่บ้านเรา ถ้าหมู่บ้านแห้ง บ้านเราก็แห้งด้วย
เมื่อส่วนรวมดี เราก็ดีด้วย

Android

Posted: ตุลาคม 12, 2011 in Uncategorized

แอนดรอยเป็นระบบปฎิบัติการณ์ของโทรศัพท์มือถือ ทำให้เรารู้สึกเหมือนมีคอมพิวเตอร์เครืองเล็กอยู่ใกล้ตัวตลอดเวลา แต่ตอนนี้ง่วงนอนแล้ว

Posted: กันยายน 20, 2011 in Uncategorized

Im just trying to write on mobile phone