อบรมตัวเองที่หน้ากระจกเงา ดื้อจังนะเจ้า เตือนกี่คราวก็ยังไม่จำ
อย่ารักคนขาว คนขาวส่วนมากใจดำ ให้รักคนดำ คนดำส่วนมากใจดี.
( อบรมตัวเอง อัมพร แหวนเพชร )
ส่องกระจกดูเงาตัวเอง เห็นคนโกหกไม่เก่งทุกวัน แสร้งฝืนยิ้มทำชื่นบาน
แต่ตาเศร้าลงทุกวัน ตั้งแต่เขานั้นตีจากใจนี้
( คนเจ็บในกระจก วรานุช พุทธชาติ )
มองกระจกเงาเห็นใบหน้าเรา ใจสะอื้น คิดยิ่งขมขื่น กล้ำกลืนแต่น้ำตา
ขี้ริ้วขี้เหร่ ไม่เรี่ยมเร้โสภา อยากมีผิวขาวเหมือนงา ไฉนเกิดมาเป็นคนผิวดำ …
( ฝนซาฟ้าใส ตู่มัณฑนา )
วันนี้ยกเพลงลูกทุ่งที่มีกระจกสะท้อนใบหน้าตนเองมาให้อ่าน 3 เพลง
ไพเราะปนเศร้าทั้ง 3 เพลงเลยค่ะ
โดยธรรมชาติมนุษย์ส่องกระจกเพื่อสำรวจตนเอง
แต่บางคราวคงมีบ้างที่มองกระจกด้วยอารมณ์แนวๆนี้
เช่นการส่องมองกระจกเพื่อสอนตัวเอง แต่ตัวเองจะเชื่อฟังหรือเปล่าก็ไม่รู้นะ
หรือการมองกระจกเพราะรู้ตัวว่าไม่อาจโกหกตัวเองได้สำเร็จ
ต้องฝืนทำหน้าชื่นอกตรมเรื่อยมา กระจกคงบอกได้ว่า "ปากยิ้มแต่ตาเศร้า" นะเธอ
และเพลงที่กล่าวถึงความน้อยเนื้อต่ำใจในรูปลักษณ์แห่งตน
ทั้งขี้เหร่ทั้งดำ ไม่สวยดั่งใครเขา
แต่อย่างไรก็ตามกระจกนั้นสะท้อนได้เพียงแค่เรือนร่างเพียงภายนอกเท่านั้น
ไม่อาจมองใครได้ถึงก้นบึ้งหัวใจซักที แม้ตัวเราเองก็ไม่อาจมองเห็นตัวตนที่แท้จริงผ่านกระจกได้
กระจกเงา เป็นวัตถุที่มีความสามารถในการสะท้อน
สามารถเห็นภาพสะท้อนของวัตถุได้ชัดเจน
สาเหตุที่เราสามารถเห็นภาพในกระจกเงาได้
เนื่องจากแสงจากวัตถุไปตกกระทบกับกระจก แล้วสะท้อนกลับมาเข้าตา
(จากวิกิพีเดีย)
แต่ด้วยมุมมองของสายตา ทำให้กระจก 1 บาน
สะท้อนภาพใบหน้าเราให้เห็นตนเองเพียงด้านเดียว
ไม่มองเห็นด้านที่เป็นจุดด้อยหรือบกพร่อง
คงจะดีไม่น้อยถ้าเรามีมุมกระจกที่หลายด้านมากขึ้น
ดังเช่น กระ จก หก ด้าน
ซึ่งมีความหมายว่า การมองตัวเองให้ทั่วถึง ทุกด้าน ทุกมุม
กระจกเงานั้นผูกพันกับชีวิตประจำวันของคนเราอย่างเลี่ยงไม่ได้
แต่หากวันหนึ่งวันใด กระจกที่เราคุ้นเคยในชีวิตประจำวันเกิดเป็นพิษขึ้นมา คุณ จะ ทำ อย่าง ไร
เมื่อวานได้มีโอกาสดูหนังสยองขวัญเกี่ยวกับเรื่องของกระจกผีอยู่เรื่องหนึ่ง
ชื่อเรื่องว่า Mirrors ไปดูโปรไฟล์หนังกันหน่อยค่ะ
Mirrors
ประเภทหนัง : Horror (สยองขวัญ)
ผู้กำกับ : Alexandre Aja
นักแสดง :
Kiefer Sutherland
Paula Patton
ตามข้อมูลบอกว่าผู้กำกับเรื่องนี้คือ Alexandre Aja
ซึ่งเคยสร้างชื่อความสยองมาแล้วจาก The Hills Have Eyes
ซึ่งฉันก็มีโอกาสได้ชมเหมือนกัน ขนหัวลุกมาก
เรื่องนั้นเป็นเรื่องของครอบครัวที่เดินทางไปติดอยู่ในกลางทะเลทราย
แล้วไปเจอพวกอสูรกายรูปร่างประหลาดเพราะเกิดความผิดพลาดทางพันธุกรรม
ที่อาศัยอยู่ในบริเวณหุบเขาย่านนั้น ก็มีการไล่ล่า การฆ่า และการต่อสู้เพื่อเอาตัวรอด
หนังสนุก ตื่นเต้น ระทึกขวัญ และลุ้นมาก แต่อาจมีภาพแนว "แหวะ แหวะ" อยู่บ้าง
สำหรับเรื่อง Mirrors นี้ก็สนุก ตื่นเต้น ระทึกมากไม่แพ้กัน ลุ้นตั้งแต่ต้นจนจบเช่นกันค่ะ
มีภาพ แหวะ แหวะ แทรกเข้ามาบ้างพอเป็นกระสาย
(ความหมายของคำว่า กระสาย แปลว่า เครื่องแทรกยา เช่น น้ำเหล้า. )
เรื่อง Mirrors เป็นภาพยนตร์รีเมค หนังเก่าที่นำมาสร้างใหม่
โดยนำเค้าโครงเรื่องมากจากหนังสยองขวัญจากเกาหลีเรื่อง Into the Mirror-กระจกผีเฮี้ยน
พล็อตเรื่องใกล้เคียงกันมาก แต่เวอร์ชั่นฮอลลีวู้ดปรุงรสให้มีกลิ่นนมเนย
จนแทบไม่รู้เลยว่าต้นตำหรับคือรสชาติกิมจิใกล้ๆบ้านเรานี่เอง
ตัวเดินเรื่องคือนายตำรวจนายหนึ่ง (Kiefer Sutherland) ที่หลุดวงโคจรจากงานพิทักษ์สันติราษฎร์
ต้องมาเป็น รปภ. กะกลางคืน ที่อาคารห้างสรรพสินค้าร้างที่ถูกเพลิงเผาซะวอดแห่งหนึ่ง
เขาต้องเดินตรวจตราทุก 2-3 ชั่วโมง ในสถานที่ที่ไม่มีไฟฟ้า มีเพียงแค่ไฟฉายดวงเล็กๆ
สาดส่องไปทั่วๆ ทำให้เราเห็นภาพวัตถุสิ่งของในห้างที่ชำรุดแตกหัก ผุพัง จากการถูกเพลิงผลาญ
ตุ๊กตาหุ่นโชว์ที่แขน ขาหัก คอหลุด โต๊ะ เคาท์เตอร์ที่แหว่งๆ วิ่นๆ
หากแต่กระจกที่มีจำนวนมากในห้างกลับเงา ใส ใหม่เอี่ยม
ซึ่งกระจกบางบานบางคราวไม่สะท้อนภาพที่เป็นจริงออกมา
และบางบานมีคราบรอยมือกาง 5 นิ้ว ปะไปทั่วจากต่ำไปจนสูงจรดเพดานจนน่าประหลาดใจ
เพียงเท่านี้ก็สร้างบรรยากาศชวนขนหัวลุกแก่ผู้ชมได้ไม่ยากแล้ว
มันช่างเป็นกระจกที่น่ากลัวเหลือเกินค่ะ คุณผู้ชม
กระจกปีศาจนี้มันไม่ได้อาละวาดเพียงแค่ในห้างร้างแห่งนี้
แต่มันส่งแรงอาฆาตไปที่กระจกตามบ้านของพระเอก น้องสาวพระเอกด้วย
ประหนึ่งเป็นแค้นฝังกระจก คู่แข่งแค้นฝังหุ่นกันเลยทีเดียว
ในฉากที่พระเอกพยายามนำกระจกทุกบานออกจากบ้านให้หมด
และกระจกบางส่วนที่ติดผนึกแน่นกับผนังบ้าน เขาก็จะทาสีทับ
ฉันเห็นแล้วใจเสียค่ะ ต้องรำพึงกับน้องชายที่นั่งดูด้วยกันว่า…
โอ๊ว ชีวิตเราจะอยู่ได้อย่างไรหนอ ถ้าโลกนี้ไม่มีกระจก
ฉากที่สยองที่สุดยกให้ฉากนี้ค่ะ
หญิงสาวคนนี้ส่องกระจกในห้องน้ำ แล้วหันหน้ากลับไปเพื่ออาบน้ำ
เงาในกระจกกลับไม่สะท้อนภาพตามนั้น แต่กลับมองหญิงคนนั้นด้วยแววตาแข็งกร้าว
และแล้วเงานั้นก็ง้างปากตัวเอง จนปากบนกับปากล่างถ่างออกจากกัน
เลือดกระฉูดเต็มปาก รอยร้าวบนขากรรไกรและแก้มค่อยๆปริออกราวกับแก้วร้าว
เธอยังง้างไม่หยุด จนปากล่างหลุดออกมา (คล้ายเรื่องบุปฝาราตรี 3.1 ค่ะ )
ส่วนภาพตัวจริงของหญิงคนนี้ ซึ่งอยู่ในอ่างอาบน้ำก็มีสภาพไม่ต่างไปจากภาพในกระจก
ปากเธอค่อยๆแยกจากกันจนเลือดพุ่งกระฉูด และตายในที่สุดด้วยสภาพที่สุดสยอง
ฉากนี้น่ากลัวที่สุดแล้วในความคิดของฉัน แค่นั่งพิมพ์อยู่นี้ยังขนลุกเลยค่ะ
สุดท้ายเรื่องก็ค่อยคลายปมออก ว่าทำไมกระจกจึงโหด เลว ไม่มีดีเช่นนี้
แม้ข้อมูลรองรับและการแก้ปัญหาจะดูไม่ค่อยน่าเชื่อถือนัก แต่ก็..นะ
พอจะทำความเข้าใจและอนุโลมให้ได้ ค่าที่หนังสร้างได้ถึงขีดคำว่า Horror
และมันก็เป็นเพียงแค่หนังผี ที่มักไม่ต้องการเหตุผลที่สมจริงนักหนาอยู่แล้ว
สำหรับตัวพระเอก คีเฟอร์ ซุตเทอร์แลนด์
ฉันเคยดูหนังเขามาหลายเรื่อง ที่จำได้แม่นยำคือ Phone Booth
หนังระทึกชั้นดีเรื่องหนึ่งของ ผู้กำกับ Joel Schumacher
เป็นหนังเรื่องแรกๆของ Colin Farrell ด้วย คีเฟอร์แสดงนิดเดียวแต่ก็สำคัญ
ส่วนอีกเรื่อง ของคีเฟอร์ ที่ฉันจำได้คือเรื่อง The Vanishing ปี 1993
เป็นชายหนุ่มที่ต้องตามหาแฟนสาวที่หายตัวไปลึกลับ
โดยแสดงคู่กับ แซนดร้า บูลล็อกตั้งแต่เธอยังไม่เล่นเรื่อง Speed ด้วยซ้ำ
ไม่น่าเชื่อว่าในวัยขนาดนี้ คีเฟอร์ยังดูหล่อเหลา ปราดเปรียว ไม่เสื่อมคลาย
ส่วนฉันในวัยขนาดนี้ก็…เอ่อ… เดี๋ยวขอตัวไปดูกระจกก่อนนะว่าตัวเองเป็นอย่างไร
….
…..
อุ๊ย ไม่เอาดีกว่า ดึกแล้ว ขอตัวไปนอนโดยไม่ขอเดินผ่านกระจกนะคะ
Good night ค่ะ