Archive for the ‘Private Lek’ Category

ไฝที่ปาก

Posted: กันยายน 18, 2010 in Private Lek
อยู่ดีๆก็มีไฝที่ปาก

ไม่ใช่ไฝ เขาเรียกว่าขี้แมลงวัน
ขึ้นที่เกือบๆกลางปากล่าง
จะว่าเป็นคนพูดมากช่างจ้อก็ไม่ใช่
เป็นเพราะอะไรไม่รู้ ไม่ชอบ ไม่สวย

มุมคิดจากเกมส์

Posted: มิถุนายน 29, 2010 in Private Lek
 
ฉันห่างหายไปจากสเปซพักนึง
ไปขลุกตัวอยู่ในเฟซบุ๊คโน่น
ไม่ใช่ว่าจะเข้าไปตามกระแสโซเชี่ยลเน็ตเวิร์คอย่างใครเขาหรอกนะ
 
ในยุคการเมืองการชุมนุมร้อนรุ่มเขาว่ากันว่าได้เกิดสังคมข่าวสารแหล่งใหม่ขึ้น
คือ Social Network ในเฟซบุ๊คบ้าง ทวิตเตอร์บ้าง
วิพากษ์ วิจารณ์ แสดงความเห็น บ้างก็รวมเป็นกลุ่มเป็นพลังสังคมเพื่อแสดงออก

ฉันก็ได้แค่อ่านๆผ่านหู ผ่านตา พอให้รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น
แต่ไม่เคยไปแสดงพลังอะไรกับใครเขา
ตรงกันข้าม ใครที่มาแสดงอารมณ์ทางการเมืองมากๆ
แบบไม่ตรงกับจริต ไม่ตรงกับความเชื่อของฉัน
แล้วมาโผล่ในกระดานข้อความของฉัน ฉันก็จับมัน ‘hide’ ไปเลย
ข้อความคนนี้ก็ไม่ต้องมาปรากฎให้รำคาญตาอีกต่อไป
ไม่ Delete ชื่อทิ้งก็บุญแล้วค่ะ
 
ส่วนใหญ่ฉันไปฝังตัวในเฟซบุ๊คเพราะเจตนาเข้าไปเล่นเกมส์ต่างหากค่ะ
ช่วงแรกๆ ยอมรับว่าติดเกมส์มากพอควร แต่ตอนนี้เริ่มซาแล้ว
มันก็ช่วยคลายเหงาในปีที่ฉันโดดเดี่ยวมากเกียวกับเรื่องงาน
 
 
จากการเข้าไปทำฟาร์มใน Farmville และ ทำร้านอาหารใน Cafe’ World
เชื่อไหมฉันยังอุตส่าห์ได้ปรัชญาในการดำเนินชีวิตมาหลายข้อ
วันนี้ขอพูดเฉพาะเกมส์ฟาร์มวิวก็แล้วกันค่ะ
เริ่มกันเลย
1.ถ้าคุณจะเล่นเกมส์ออนไลน์แบบนี้คุณต้องมีเพื่อน
เกมส์จะบอกย้ำตลอดให้เรามี neigbour หรือเพื่อนบ้านมากๆเข้าไว้
จะช่วยเหลือเกื้อกูลกันได้ในยามตกยาก (ว่าไปนั่น)
 
แง่มุมคิด ชีวิตนี้คนต้องมีเพื่อนค่ะ
 
2.เมื่อเราเริ่มปลูกผัก…เกมส์จะให้เราประกาศให้โลกรู้ว่าฉันทำสวนแล้วนะ ถ้าใครว่างช่วยมาใส่ปุ๋ยให้ด้วย
ยิ่งฟาร์มใครมีคนมาให่ปุ๋ยให้มากเท่าไหร่ ในแต่ละแปลงเราก็จะได้คะแนนเพิ่มมากเท่านั้น
 
แง่มุมคิด ทำอะไรก็อย่ามัวเก็บเนื้อเก็บตัว มันจะไม่รุ่ง
 
3.ส่วนเพื่อนที่มารดน้ำใส่ปุ๋ยก็ได้คะแนนได้เงินจากเกมส์ไปนิดหน่อยเป็นค่าตอบแทนน้ำใจ
เราเองก็ไปรดน้ำใส่ปุ๋ยฟาร์มคนอื่นได้ เมื่อทำหน้าที่เสร็จ เกมส์ก็จะให้เราประกาศว่า
เราได้มาช่วยเหลือฟาร์มนี้แล้ว เผื่อใครจะเข้ามาที่ฟาร์มของเราบ้าง
 
แง่มุมคิด มีน้ำจิตน้ำใจให้กันและกันเราอาจได้สิ่งดีตอบแทน (แอบหวังผล)
 
 
 
3.บางช่วงในขณะที่พรวนดิน เราอาจไปเจอถังน้ำมันเข้าให้
เกมส์ก็จะถามเราว่า เราจะแบ่งให้เพื่อนไหม อือม์..ก็ได้ เอาน้ำมันไปเลยเพื่อน
ฉันก็ได้ในส่วนของฉัน เธอก็ได้ในส่วนของเธอ
 
แง่มุมคิด การแบ่งปันทำให้ฉันมีความสุข ( ไม่หวังผล)
 
4.บางคราวเราไปให้อาหารไก่ที่ฟาร์มเพื่อนบ้าน
ไก่อาจอารมณ์ดีเบ่ง"ไข่ทอง"ออกมาให้ เราอย่าไปดีใจนะคะ
มันหาใช่ของเราไม่ เกมส์จะถามว่าเราจะแจกไข่ทองให้ชาวบ้านไหม
เฮ้อ เราก็ต้องให้ซิคะ เพราะเราไม่มีสิทธิ์ได้อยู่แล้ว
จะปล่อยทิ้งไปก็สูญหายไปเปล่าๆ
ส่วนประเภทที่ว่าฉันไม่ได้ใครก็อย่าได้ คงไม่ค่อยมีหรอกในการเล่นเกมส์
แต่ชีวิตจริงนั้นไม่แน่ !!!!
(ใครได้ไข่ทองไปอาจโชคดีได้บ้าน ได้ของมีค่า หรืออาจเป็นแค่ไก่ธรรมดาก็ได้แล้วแต่ดวงค่ะ)
 
แง่มุมคิด เรียนรู้ที่จะเสียสละ แม้เราไม่มีส่วนได้ดีอะไรกับสิ่งที่เรา"ให้" (ฮือ ฮือ )
 
5.เมื่อเรากลับมาที่ฟาร์มของเราเอง
เกมส์จะบอกเราว่ามีใครมาช่วยงานฟาร์มของเราบ้าง
ก็จะให้เราคลิกขอบคุณเพื่อนๆเหล่านั้นประกาศเกียรติคุณกันที่หน้ากระดานข้อความอีก
แง่มุมคิด ชีวิตนี้ควรแทนคุณแผ่นดิน เอ๊ย ! ไม่ใช่
ควรรำลึกบุญคุณของคนที่ให้การช่วยเหลือ
แม้จะเป็นเรื่องเล็กน้อย
 
6. ในบางโอกาสเราได้โบนัส ได้รางวัลจากเกมส์ หรือได้เลื่อน Level
ทุกอย่างต้องประกาศให้คนรับรู้ที่หน้ากระดานข้อความ ตลอด  ตลอด
คนที่คลิกเพื่อแสดงความยินดีก็จะได้รางวัลกันไปนิดๆหน่อย
 
แง่มุมคิด เก็บรางวัลไว้ภูมิใจคนเดียวเงียบๆ จะได้รางวัลไปทำไม ประกาศไปเลยพี่น้อง
เผื่อคนอื่นเขาจะได้อิจฉา เอ๊ย เขาจะได้ร่วมยินดีกับเราบ้าง
 
6. เนื่องจากเป็นเกมส์ออนไลน์ ผู้เล่นต้องมีการติดต่อสื่อสาร ต้องมีการเยี่ยมฟาร์มกัน
ฉะนั้นเราต้องพยายามทำฟาร์มให้ดูดี สวยงาม ใครแวะมาจะได้ชื่นชม
 
แง่มุมคิด ทำตัวให้ดูดีเสมอนะ เพราะเราต้องอยู่ในสังคม
 
นี้คือเรื่องราวที่อยากบอกกล่าวกัน
ไม่ได้ตั้งใจจะชวนคุณๆให้ไปเล่นเกมส์นะ
แค่อยากบอกว่าทุกอย่างในชีวิตอาจมีแง่มุมให้ชวนคิดเสมอ

เอ่อ ขอตัวไปรดน้ำ พรวนดิน ต่อนะคะ
แค่นี้นะ
 
 
 

รุนแรง

Posted: มิถุนายน 25, 2010 in Private Lek

ปีนี้เป็นปีที่ไม่ค่อยดีหรือเปล่านะ
ประเทศเราดำเนินไปอย่างเลวร้ายที่สุดตั้งแต่ฉันเกิดมา

ทั้งๆที่ท่านรัฐบุรุษประจำประเทศไทยเคยกล่าวไว้ว่า
"ประเทศไทยโชคดีที่มี ……. เป็นนายกฯ"
(ขออนุญาตไม่เอ่ยนาม)
โชคดีจริงหรือคะทั่น !!!

ไม่น่าเชื่อว่าในรอบ 18 ปี
เหตุการณ์พฤษภาทมิฬจะวนกลับมาเกิดขึ้นอีก
ราวกับเป็นกงล้อวัฎจักรของซาตาน
17 พฤษภา 35
19 พฤษภา 53

เหตุการณ์คราวนี้รุนแรงกว่าครั้งก่อนมาก
ในปี 2535 ผู้คนส่วนใหญ่มีความเห็นไปในทางเดียวกัน
ผู้มีอำนาจซึ่งเป็นเจ้าของวาทะกรรม "เสียสัตย์เพื่อชาติ"จึงพ่ายแพ้ไปในที่สุด

หากแต่ในครั้งนี้  2553…
ผู้คนแตกแยก รังเกียจเดียดฉันท์กัน
แบ่งฝ่ายแบ่งสีกันมาได้ 4-5 ปีแล้ว
ถึงขั้นที่สีหนึ่งส่งสัญญาณไฟเขียวให้มีการกระทำการรุนแรงกับผู้ชุมนุมอีกสีหนึ่งได้
และผู้มีอำนาจก็สั่งการจริงๆ  
จนมีผู้บาดเจ็บเสียชีวิตมากมายกว่าครั้งที่แล้วเป็นเท่าตัว



มีบางคนบอกว่าอย่าใช้คำสวยหรูประเภท "กระชับวงล้อม" "ขอคืนพื้นที่" อะไรพวกนี้เลยนะ 
แม้แต่คำว่า"สลายการชุมนุม" ยังเบาไปด้วยซ้ำ
น่าจะเป็นคำว่า "สังหารหมู่" ซะมากกว่า

ผู้สื่อข่าวทั้งในและต่างประเทศที่เขามาทำหน้าที่ของเขาก็ถูกยิงบาดเจ็บบ้าง ตายบ้าง
อาสากาชาดที่ไม่ใช่คู่ขัดแย้ง เขาหวังเพียงช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ด้วยกันยังถูกฆ่า
บางคนไม่ได้เกี่ยวข้อง แค่ผ่านไปในพื้นที่ก็ถูกปืนยิงหัว เลือดนองพื้น
ผู้ชุมนุมบางคนถูกยิงแล้วยังถูกด่าซ้ำว่าสมควรตาย
ผู้ไปหลบภัยในวัดซึ่งเป็นเขตอภัยทาน ก็ยังถูกยิงตาย

มันยิ่งกว่าเหตุการณ์ในสงครามเสียอีก 
ที่สำคัญเราเป็นคนไทยด้วยกันหรือเปล่า ?

นับเป็นเหตุการณ์สุดโฉดที่สมควรบันทึกไว้กับนายกฯคนนี้

ก่อนหน้านี้ก็มีการสร้างเรื่องป้ายสีที่รุนแรง เรื่องการ "ล้มสถาบัน"
เพื่อให้เกิดความเกลียดชังแก่ผู้ชุมนุม แล้วตอนนี้ข้อหานั้นไปไหนแล้วคะ
มีการสร้างคำว่า"ผู้ก่อการร้าย"มาอีก ทั้งที่ผู้ชุมนุมที่นอนตายกลางถนนไม่เห็นมีใครมีอาวุธ
วาจาพร่ำคำว่าปรองดอง แต่พฤติกรรมคือตามล่าตามล้าง

ส่วนฝ่ายที่พ่ายแพ้ก็แตกกระเจิงกันไป หัวใจก็คุกรุ่นไปด้วยความแค้น
รอแค่วันปะทุ ซึ้งจะระเบิดเมื่อไหร่ก็ยังไม่รูู้

ฉันยังมองไม่เห็นเลยว่าเหตุการณ์มันจะจบลงอย่างไร

ใครๆก็หวังความสงบสุขนะ
แต่คำว่า "สงบ" กับ คำว่า "สุข" มันคนละคำ คนละความหมาย




ฉันไม่เคยไปร่วมชุมนุมอะไรกับเขาหรอก
แต่กลับรู้สึกใกล้ชิดเหตุการณ์มากกว่าเมื่อ 18 ปีที่แล้วที่ไปชุมนุมเสียอีก
เป็นเพราะปัจจุบันมีสื่ออินเตอร์เนตที่มีผู้มาเปิดเผยเรื่องราวได้หลายแง่มุม
มีคลิป มีรูปภาพ มีคำบอกเล่า
อาจจริงมาก เท็จบ้าง ก็ต้องใช้วิจารณญาณส่วนตัวกันเอง




ที่แท้ก็แค่….

Posted: พฤษภาคม 23, 2010 in Private Lek
หมอกจางๆและควัน

คล้ายกันจนบางทีไม่อาจรู้…
อยากจะถามดูว่าเธอเป็นอย่าง
ห ม อ ก ห รื อ ค วั น
รู้เพียงแค่ว่าตอนนี้แสบตามาก
น้ำตาจะไหล

Final Destination 4

Posted: มกราคม 27, 2010 in Private Lek
 
Final Destination 4 โกงความตายทะลุตาย
 
 

เรื่องราวของตัวละครกลุ่มหนึ่งที่รอดพ้นจากการตายหมู่ในสนามแข่งรถ
ด้วยการเห็นเหตุการณ์ล่วงหน้าของ"นิค" พระเอกของเรื่อง และพากันออกจากเหตุวิบัติครั้งนั้นได้
 
แต่แล้วคนในกลุ่มกลับทยอยตายทีละคนๆอย่างสยดสยองแบบช่วยเหลือไม่ได้
ผู้ที่เหลืออยู่จึงได้เรียนรู้ชะตากรรมตนเอง ว่าเขาได้"โกง"ความตายมา ความตายจึงกำลังมาทวงคืน
โดยมี"นิค"ซึ่งมีนิมิตรพิเศษจะคอยบอกคิวถึงฆาตของแต่ละคน

แม้คนในกลุ่มจะพยายามขัดขวางการตายของเพื่อนเพื่อเป็นการ"ตัดห่วงโซ่"
ซึ่งพวกเขาเชื่อกันว่าเมื่อถึงคิวใคร แล้วคนนั้นได้รับการช่วยเหลือจนรอดตายได้
คนที่เป็นคิวต่อไปก็จะรอดชีวิตไปด้วย ประหนึ่งว่าคิวมันผิดทิศทางไปนั่นเอง
แต่พวกเขาก็ตัดห่วงโซ่กันผิดๆถูกๆ ลำดับการตายจึงยังดำเนินต่อไป

 

ผู้ชมอย่างฉันเองก็พยายามตั้งความหวังที่มีเพียงน้อยนิดว่า ….ตัวละครบางคนอาจรอดก็ได้
พระเอกซึ่งมีลางสังหรณ์และได้พยามยามทำความดีด้วยการช่วยชีวิตคนอื่นควรจะมีชีวิตอยู่
และน่าจะได้ช่วยเพื่อนบางคนให้รอดได้
ซึ่งถ้าเป็นเช่นนั้นจริง เรื่องจะจบลงแบบ Happy Ending
พวกเขาสามารถเอาชนะการไล่ล่าจากโชคชะตาได้สำเร็จ …
 
แต่…ตัวละครทุกตัวเขามีคิวตายเป็นของตัวเอง
เรื่องราวทั้งหมดจึงไม่มีพลิกผันหักมุมแบบหนังพล็อตฉลาดๆเรื่องอื่นๆบางเรื่อง

ส่งที่ต้อง"ลุ้น" เมื่อดูหนังนี้
จึงเป็นการติดตามว่าใครจะตายได้อุบาทว์ขนาดไหน และจะตายเมื่อไหร่

Final Destination 4 จึงเหมาะกับคนชอบดูหนังที่มีภาพสยองๆ
ตับไตใส้พุงกระจายออกนอกจอ เลือดพุ่งกระฉูดทะลักแดงฉาน
ตะปูถูกสาดมาปักที่ตัวราวห่าฝน ไฟลุกไหม้ท่วมตัวจนเนื้อหนังสุก
ล้อรถกระเด็นมาโดนคนจนหัวขาดตัวฉีก วัตถุหนักใหญ่ทับคนจนตัวแบน
วัตถุมีคมขนาดใหญ่ตัดกลางลำตัวคนจนขาด 2 ท่อน ฯลฯ
 

 
แต่ในเรื่องก็มีบางฉากที่อาจจะตื่นเต้นพอจะให้ลุ้นได้บ้าง ว่าตัวละครจะได้รับการกู้ชีพได้ทันท่วงทีหรือไม่
เช่นฉากช่วยคนฆ่าตัวตายเพื่อหนีการล่าความตาย ,ฉากในโรงหนังที่มีระเบิดทะลุออกนอกจอ
หรือแม้แต่ฉากในร้านตัดผมที่อุปกรณ์ต่างๆมันขยันเคลื่อนที่เองกันเหลือเกิน..
แต่สำหรับฉันฉากที่ตื่นเต้นที่สุดขอยกให้ "ฉากล้างรถด้วยเครื่อง" ค่ะ
อาจด้วยประสบการณ์ส่วนตัวที่เคยขับรถเข้าเครื่องล้างรถมาก่อน จึงรู้สึกหวั่นไหวหน่อยๆ
ว่าถ้าเกิดเหตุการณ์ฉุกเฉิน อุปกรณ์กลไก..ทำงานผิดปกติ
เราจะเอาตัวรอดได้อย่างไร เพราะรอบข้างเรามีแต่เครื่องจักรหนาหนักที่ล้อมรอบตัวอยู่
 
ฉันดู หนัง Final Destination มาครบทุกภาค
ดูภาค 1 ตื่นเต้นดี พล็อตดูแปลกใหม่จากหนังแนววัยรุ่นสยองขวัญเรื่องอื่นๆในยุคนั้น
ช่วงนั้นเรื่องที่มาแรงเช่น Scream , I Know What You Did Last Summer ฯลฯ
พล็อตจะออกเป็นแนวฆาตกรโรคจิตไล่ฆ่ากัน
แต่ Final Destination จะแตกต่างตรงที่มีเรื่องของสิ่งที่พิสูจน์ไม่ได้เข้ามาเกี่ยวข้องด้วย
คือพระเอกจะเกิดนิมิตรเห็นเหตุการณ์ล่วงหน้า แล้วพากลุ่มเพื่อนๆรอดพ้นจากเหตุตายหมู่
จนความตายมาไล่ล่าแต่ละคน…
 
ดูภาค 2 ความตื่นเต้นลดลงจากภาคแรก แต่ก็สยองกับฉากการตายที่ดีไซน์ให้ชวนหวาดเสียว
ดูภาค 3 เริ่มเฉย และบอกตัวเองว่ามันเหมือนเรื่องเดิม น่าจะถึงทางตัน คงไม่มีภาค 4 หรอก
และแล้ว ภาค 4 ก็มา ในแบบ 3 มิติ ซะด้วย ก็คงได้ความแปลกใหม่ที่มีวัตถุกระเด็นมาใกล้ผู้ชมเหลือเกิน

ไม่รู้จะมีภาค 5 หรือไม่นะคะ

ถ้ามีช่วยปรับปรุงพล็อตให้แปลกใหม่ เร้าใจกว่านี้อีกซักนิดเถอะ…
 
 
 

 

 
 
 
 
Final Destination 4

นักแสดงนำ
Bobby Campo
Shantel VanSanten
Haley Webb, Nick Zano
Krista Allen, Andrew Fiscella
Jessica Ritchie
ผู้กำกับ
David R. Ellis

เรื่องของกระจก Mirrors

Posted: มกราคม 24, 2010 in Private Lek
 
 
อบรมตัวเองที่หน้ากระจกเงา ดื้อจังนะเจ้า เตือนกี่คราวก็ยังไม่จำ
อย่ารักคนขาว คนขาวส่วนมากใจดำ ให้รักคนดำ คนดำส่วนมากใจดี.
( อบรมตัวเอง อัมพร แหวนเพชร )
 
ส่องกระจกดูเงาตัวเอง เห็นคนโกหกไม่เก่งทุกวัน แสร้งฝืนยิ้มทำชื่นบาน
แต่ตาเศร้าลงทุกวัน ตั้งแต่เขานั้นตีจากใจนี้
( คนเจ็บในกระจก วรานุช พุทธชาติ )
 
มองกระจกเงาเห็นใบหน้าเรา ใจสะอื้น คิดยิ่งขมขื่น กล้ำกลืนแต่น้ำตา
ขี้ริ้วขี้เหร่ ไม่เรี่ยมเร้โสภา อยากมีผิวขาวเหมือนงา ไฉนเกิดมาเป็นคนผิวดำ …
( ฝนซาฟ้าใส ตู่มัณฑนา )
 
วันนี้ยกเพลงลูกทุ่งที่มีกระจกสะท้อนใบหน้าตนเองมาให้อ่าน 3 เพลง
ไพเราะปนเศร้าทั้ง 3 เพลงเลยค่ะ
 
โดยธรรมชาติมนุษย์ส่องกระจกเพื่อสำรวจตนเอง
แต่บางคราวคงมีบ้างที่มองกระจกด้วยอารมณ์แนวๆนี้
เช่นการส่องมองกระจกเพื่อสอนตัวเอง แต่ตัวเองจะเชื่อฟังหรือเปล่าก็ไม่รู้นะ
หรือการมองกระจกเพราะรู้ตัวว่าไม่อาจโกหกตัวเองได้สำเร็จ
ต้องฝืนทำหน้าชื่นอกตรมเรื่อยมา กระจกคงบอกได้ว่า "ปากยิ้มแต่ตาเศร้า" นะเธอ

และเพลงที่กล่าวถึงความน้อยเนื้อต่ำใจในรูปลักษณ์แห่งตน
ทั้งขี้เหร่ทั้งดำ ไม่สวยดั่งใครเขา
 

แต่อย่างไรก็ตามกระจกนั้นสะท้อนได้เพียงแค่เรือนร่างเพียงภายนอกเท่านั้น
ไม่อาจมองใครได้ถึงก้นบึ้งหัวใจซักที แม้ตัวเราเองก็ไม่อาจมองเห็นตัวตนที่แท้จริงผ่านกระจกได้
 
กระจกเงา เป็นวัตถุที่มีความสามารถในการสะท้อน
สามารถเห็นภาพสะท้อนของวัตถุได้ชัดเจน
สาเหตุที่เราสามารถเห็นภาพในกระจกเงาได้
เนื่องจากแสงจากวัตถุไปตกกระทบกับกระจก แล้วสะท้อนกลับมาเข้าตา
(จากวิกิพีเดีย)
 
แต่ด้วยมุมมองของสายตา ทำให้กระจก 1 บาน
สะท้อนภาพใบหน้าเราให้เห็นตนเองเพียงด้านเดียว
ไม่มองเห็นด้านที่เป็นจุดด้อยหรือบกพร่อง
คงจะดีไม่น้อยถ้าเรามีมุมกระจกที่หลายด้านมากขึ้น
ดังเช่น กระ จก หก ด้าน
ซึ่งมีความหมายว่า การมองตัวเองให้ทั่วถึง ทุกด้าน ทุกมุม
 
กระจกเงานั้นผูกพันกับชีวิตประจำวันของคนเราอย่างเลี่ยงไม่ได้
แต่หากวันหนึ่งวันใด กระจกที่เราคุ้นเคยในชีวิตประจำวันเกิดเป็นพิษขึ้นมา คุณ จะ ทำ อย่าง ไร
 
 
 
เมื่อวานได้มีโอกาสดูหนังสยองขวัญเกี่ยวกับเรื่องของกระจกผีอยู่เรื่องหนึ่ง
ชื่อเรื่องว่า Mirrors ไปดูโปรไฟล์หนังกันหน่อยค่ะ
Mirrors
ประเภทหนัง : Horror (สยองขวัญ)
ผู้กำกับ : Alexandre Aja
นักแสดง :
Kiefer Sutherland
Paula Patton
 
ตามข้อมูลบอกว่าผู้กำกับเรื่องนี้คือ  Alexandre Aja
ซึ่งเคยสร้างชื่อความสยองมาแล้วจาก The Hills Have Eyes
ซึ่งฉันก็มีโอกาสได้ชมเหมือนกัน ขนหัวลุกมาก
เรื่องนั้นเป็นเรื่องของครอบครัวที่เดินทางไปติดอยู่ในกลางทะเลทราย
แล้วไปเจอพวกอสูรกายรูปร่างประหลาดเพราะเกิดความผิดพลาดทางพันธุกรรม
ที่อาศัยอยู่ในบริเวณหุบเขาย่านนั้น ก็มีการไล่ล่า การฆ่า และการต่อสู้เพื่อเอาตัวรอด
หนังสนุก ตื่นเต้น ระทึกขวัญ และลุ้นมาก แต่อาจมีภาพแนว "แหวะ แหวะ" อยู่บ้าง
 
สำหรับเรื่อง Mirrors นี้ก็สนุก ตื่นเต้น ระทึกมากไม่แพ้กัน ลุ้นตั้งแต่ต้นจนจบเช่นกันค่ะ
มีภาพ แหวะ แหวะ แทรกเข้ามาบ้างพอเป็นกระสาย
(ความหมายของคำว่า กระสาย แปลว่า เครื่องแทรกยา เช่น น้ำเหล้า. )
 
เรื่อง Mirrors เป็นภาพยนตร์รีเมค หนังเก่าที่นำมาสร้างใหม่
โดยนำเค้าโครงเรื่องมากจากหนังสยองขวัญจากเกาหลีเรื่อง Into the Mirror-กระจกผีเฮี้ยน
พล็อตเรื่องใกล้เคียงกันมาก แต่เวอร์ชั่นฮอลลีวู้ดปรุงรสให้มีกลิ่นนมเนย
จนแทบไม่รู้เลยว่าต้นตำหรับคือรสชาติกิมจิใกล้ๆบ้านเรานี่เอง
 
ตัวเดินเรื่องคือนายตำรวจนายหนึ่ง (Kiefer Sutherland) ที่หลุดวงโคจรจากงานพิทักษ์สันติราษฎร์
ต้องมาเป็น รปภ. กะกลางคืน ที่อาคารห้างสรรพสินค้าร้างที่ถูกเพลิงเผาซะวอดแห่งหนึ่ง
เขาต้องเดินตรวจตราทุก 2-3 ชั่วโมง ในสถานที่ที่ไม่มีไฟฟ้า มีเพียงแค่ไฟฉายดวงเล็กๆ
สาดส่องไปทั่วๆ ทำให้เราเห็นภาพวัตถุสิ่งของในห้างที่ชำรุดแตกหัก ผุพัง จากการถูกเพลิงผลาญ
ตุ๊กตาหุ่นโชว์ที่แขน ขาหัก คอหลุด โต๊ะ เคาท์เตอร์ที่แหว่งๆ วิ่นๆ
หากแต่กระจกที่มีจำนวนมากในห้างกลับเงา ใส ใหม่เอี่ยม 
ซึ่งกระจกบางบานบางคราวไม่สะท้อนภาพที่เป็นจริงออกมา
และบางบานมีคราบรอยมือกาง 5 นิ้ว ปะไปทั่วจากต่ำไปจนสูงจรดเพดานจนน่าประหลาดใจ
เพียงเท่านี้ก็สร้างบรรยากาศชวนขนหัวลุกแก่ผู้ชมได้ไม่ยากแล้ว
 
มันช่างเป็นกระจกที่น่ากลัวเหลือเกินค่ะ คุณผู้ชม
กระจกปีศาจนี้มันไม่ได้อาละวาดเพียงแค่ในห้างร้างแห่งนี้
แต่มันส่งแรงอาฆาตไปที่กระจกตามบ้านของพระเอก น้องสาวพระเอกด้วย
ประหนึ่งเป็นแค้นฝังกระจก คู่แข่งแค้นฝังหุ่นกันเลยทีเดียว
 
ในฉากที่พระเอกพยายามนำกระจกทุกบานออกจากบ้านให้หมด
และกระจกบางส่วนที่ติดผนึกแน่นกับผนังบ้าน เขาก็จะทาสีทับ
ฉันเห็นแล้วใจเสียค่ะ ต้องรำพึงกับน้องชายที่นั่งดูด้วยกันว่า…
โอ๊ว ชีวิตเราจะอยู่ได้อย่างไรหนอ ถ้าโลกนี้ไม่มีกระจก
 
ฉากที่สยองที่สุดยกให้ฉากนี้ค่ะ
หญิงสาวคนนี้ส่องกระจกในห้องน้ำ แล้วหันหน้ากลับไปเพื่ออาบน้ำ
เงาในกระจกกลับไม่สะท้อนภาพตามนั้น แต่กลับมองหญิงคนนั้นด้วยแววตาแข็งกร้าว
และแล้วเงานั้นก็ง้างปากตัวเอง จนปากบนกับปากล่างถ่างออกจากกัน
เลือดกระฉูดเต็มปาก รอยร้าวบนขากรรไกรและแก้มค่อยๆปริออกราวกับแก้วร้าว
เธอยังง้างไม่หยุด จนปากล่างหลุดออกมา (คล้ายเรื่องบุปฝาราตรี 3.1 ค่ะ )
ส่วนภาพตัวจริงของหญิงคนนี้ ซึ่งอยู่ในอ่างอาบน้ำก็มีสภาพไม่ต่างไปจากภาพในกระจก
ปากเธอค่อยๆแยกจากกันจนเลือดพุ่งกระฉูด และตายในที่สุดด้วยสภาพที่สุดสยอง
ฉากนี้น่ากลัวที่สุดแล้วในความคิดของฉัน แค่นั่งพิมพ์อยู่นี้ยังขนลุกเลยค่ะ
 
สุดท้ายเรื่องก็ค่อยคลายปมออก ว่าทำไมกระจกจึงโหด เลว ไม่มีดีเช่นนี้
แม้ข้อมูลรองรับและการแก้ปัญหาจะดูไม่ค่อยน่าเชื่อถือนัก แต่ก็..นะ
พอจะทำความเข้าใจและอนุโลมให้ได้ ค่าที่หนังสร้างได้ถึงขีดคำว่า Horror
และมันก็เป็นเพียงแค่หนังผี ที่มักไม่ต้องการเหตุผลที่สมจริงนักหนาอยู่แล้ว
 
 
สำหรับตัวพระเอก คีเฟอร์ ซุตเทอร์แลนด์
ฉันเคยดูหนังเขามาหลายเรื่อง ที่จำได้แม่นยำคือ Phone Booth
หนังระทึกชั้นดีเรื่องหนึ่งของ ผู้กำกับ Joel Schumacher
เป็นหนังเรื่องแรกๆของ Colin Farrell ด้วย คีเฟอร์แสดงนิดเดียวแต่ก็สำคัญ
 
ส่วนอีกเรื่อง ของคีเฟอร์ ที่ฉันจำได้คือเรื่อง The Vanishing ปี 1993
เป็นชายหนุ่มที่ต้องตามหาแฟนสาวที่หายตัวไปลึกลับ
โดยแสดงคู่กับ แซนดร้า บูลล็อกตั้งแต่เธอยังไม่เล่นเรื่อง Speed ด้วยซ้ำ
 
ไม่น่าเชื่อว่าในวัยขนาดนี้ คีเฟอร์ยังดูหล่อเหลา ปราดเปรียว ไม่เสื่อมคลาย
ส่วนฉันในวัยขนาดนี้ก็…เอ่อ… เดี๋ยวขอตัวไปดูกระจกก่อนนะว่าตัวเองเป็นอย่างไร
….
…..
อุ๊ย ไม่เอาดีกว่า ดึกแล้ว ขอตัวไปนอนโดยไม่ขอเดินผ่านกระจกนะคะ

Good night ค่ะ
 

 

 

แมวกินอะไรแปลกๆ

Posted: มกราคม 22, 2010 in Private Lek
 
ในช่วงวัน 2 วันที่ผ่านมา คุณๆที่ติดตามข่าวสารคงได้อ่านเรื่องแปลกๆของแมวอยู่ 2 เรื่อง
ซึ่งฉันก็เกาะติดข่าวนี้อย่างสนใจ คือเรื่องแมวกินมะเขือเทศ และแมวกินใบกระเพราค่ะ
 
แมวชื่อ พิซซ่า ตรังชอบกินมะเขือเทศ
เจ้าพิซซ่า แมวตัวผู้ พันธุ์ไทยผสมเปอร์เซีย อายุประมาณ 8 เดือน
มีพฤติกรรมแปลกจากแมวทั่วไปที่ชอบกินมะเขือเทศสดมาก
เจ้าของเล่าว่า ตอนเจ้าพิซซ่า อายุได้ประมาณ 4 เดือน
ขณะที่ตนเองกำลังทำกับข้าวโดยกำลังหั่นมะเขือเทศ
ก็เห็นเจ้าพิซซ่า มานั่งร้องเหมียว ๆ และทำท่ายืน 2 ขา เหมือนกับจะขออาหารกิน
เธอจึงลองยื่นมะเขือเทศสดที่หั่นไว้ลองให้ชิมดู
ปรากฏว่า เจ้าพิซซ่าเอาปากคาบไปกินอย่างเอร็ดอร่อย
หลังจากนั้นเป็นต้นมา เจ้าพิซซ่าก็ยึดเมนูมะเขือเทศเป็นอาหารโปรดเรื่อยมา
….
ส่วนที่จันทบุรี เจ้าแก๊ง เป็นแมว 3 สีเพศเมีย อายุ 7 ปีแล้ว
มันจะดมใบกะเพราเป็นประจำตั้งแต่ยังเล็ก
แล้วก็เริ่มหัดแทะใบกะเพราจนเริ่มติดในกลิ่นและรสชาติ
โดยมันจะกินเป็นประจำ หลังจากที่กินอาหารเย็นปกติ
เจ้าของต้องควักเงินซื้อกะเพราให้เจ้าแก๊งกินทุกวัน
โดยเฉพาะตรงส่วนยอดที่ติดดอกกะเพรา จะชอบมากเป็นพิเศษ 
กินครั้งละ 1 กำมือ วันละหลายครั้ง ….
อือม์ ก็น่าแปลกดีเนอะ
 
 
สมัยก่อนที่ฉันเริ่มเลี้ยงแมวใหม่ๆ  แมวฉันก็ชอบกินอะไรแปลกๆเหมือนกันนะ
จุดเริ่มต้นมาจากช่วงนั้นฉันกับพี่สาวกินเงาะกับทุเรียนกันอยู่
เจ้าลูกแมว 2 ตัวยังตัวเล็กๆ..มาคลอเคลียใกล้ๆ แล้วร้องเหมียว เหมียว ฉันเดาว่ามันคงหิว
เลยยื่นเงาะกับทุเรียนให้เจ้าเหมียวลองกิน มันก็กินนะ และหลังจากนั้นก็ติดใจรสชาติเรื่อยมา
ทุกครั้งที่ได้กลิ่นเงาะ ทุเรียน ก็จะร้องลั่นขอแจมทุกครั้ง แต่ไม่ถึงกับยึดเป็นอาหารหลัก
น่าจะแนวๆของกินเล่นมากกว่า
 
ฉันเลยคาดว่า การที่แมว(หรือสุนัข)ชอบกินอะไรแปลกๆ แตกต่างจากความคุ้นเคย
อาจเป็นเพราะตอนเด็กๆได้กิน"สิ่งนั้น"ตอนกำลังหิวพอดี ก็เลยรู้สึกประทับใจ
จัดเข้าเป็นเมนูโปรดประจำตัวไปน่ะ
 
แต่ช่วงหลังๆ ฉันได้ค้นพบของโปรดของแมว แบบไม่ต้องรอตอนหิวเข้าแล้ว
สิ่งนั้นคือ ไผ่แมว และ ตำแยแมว
 
 
 ซินตึ้ง กับ ขาลาย และไผ่แมว
 
ไผ่แมว แมวชอบกินกันมาก มีครั้งหนึ่งเราซื้อมาจากงาน Pet Expo เจ้าเหมียวทุก
ตัวมารุมล้อม ตาปรือ เคลิ้ม กันเป็นแถว
ตามทฤษฎีบอกว่า เมื่อกินไผ่แมวแล้ว จะช่วยระบบขับถ่าย บางตัวสำรอกก้อนขนที่
เขาเลียแล้วหล่นไปในท้องออกมากด้วย บ้างก็อาเจียรสิ้งที่เป็นสารพิษในร่าง
กายออกมาด้วย สรุปว่าช่วยเรื่องสุขภาพค่ะ
 
ไปดูภาพแมวที่บ้านฉันรุมล้อม "ไผ่แมว" กันค่ะ
 
ส่วนต้นไม้อีกอย่างหนึ่งคือ ตำแยแมว หรือ กัญชาแมว
เมื่อแมวกินเข้าไปมันจะสำรอกออกมาเช่นกัน เป็นยาถอนพิษโรคแมวหาได้ง่ายมาก
เพราะมันขึ้นอยู่ตามข้างทางทั่วไป แต่ต้องดึงมาทั้งราก เพราะส่วนที่แมวชอบคือรากค่ะ
พอมันมันได้กลิ่นมันก้อเข้ามาคลอเคลียอยู่ที่รากของตันไม้นั้น
พอกินแล้วมันก็เริ่มน้ำลายไหลยืดย้อย มีอาการคล้ายคนเมายา ตาปรือ เคลิ้มเช่นกัน
ดูมีความสุขกันมาก
 

บันทึกคำคม

Posted: มกราคม 19, 2010 in Private Lek
 
 
จุดที่ต่ำสุดของชีวิต
ที่ทุกคนมีโอกาสประสบ
เป็นได้ทั้งจุดจบ
และบทเรียนที่ดี
 
 

เพราะสังคม..ประเมินค่า..ที่จนรวย
คนจึงสร้าง..เปลือกสวย..ไว้สวมใส่
หากสังคม..วัดค่า..ที่ภายใน
คนจะสร้าง..แต่จิตใจ..ที่ใฝ่ดี

 
ขอขอบคุณ
 

แม่ไปโรงพยาบาล

Posted: มกราคม 18, 2010 in Private Lek
เมื่อวานนี้ อาทิตย์ที่ 17 มกราคม
เราต้องพาแม่ไปพำนักที่โรงพยาบาลพักฟิ้นอีกครั้งหนึ่ง
โดยกำหนดระยะเวลาไว้ว่าน่าจะต้องอยู่ประมาณ 1 เดือนเช่นเคย
แม้ค่าใช้จ่ายจะค่อนข้างสูง แต่อย่างน้อยที่นั่นเขาดูแลค่อนข้างดี
ลูกๆก็จะสบายใจขึ้น
 
แม่ของเรามีปัญหาคือกล้ามเนื้อแขนขาอ่อนแรง ลีบเล็กลง
จำเป็นต้องได้รับการทำกายภาพบำบัดจากผู้เชี่ยวชาญ
 
จุดเริ่มต้นมาจากการที่จู่ๆแม่ก็บอกมีอาการชาที่ขาขวา และแขนขวา
น้องชายฉันพาไปหาหมอ คุณหมอตรวจพบว่ามีก้อนไขมันอุดตันเส้นเลือดที่บริเวณคอ
มีทางเลือก 2 ทางคือ ถ้าเป็นมากอาจต้องมีการผ่าตัด
แต่ถ้าไม่มาก ก็ต้องทานยาต่อเนื่องเพื่อให้การอุดตันหายไป
เหตุการณ์นี้คือช่วงประมาณ สิงหาคม ที่เราพาแม่ไปพักฟื้นที่นี่ครั้งหนึ่งแล้วประมาณ 1 เดือน
 
เมื่อแม่กลับมาที่บ้าน ก็ทานยาต่อเนื่อง จนเมื่อประมาณไม่ถึง 1 เดือนที่ผ่านมา
คุณหมอตรวจสอบแล้ว พบว่ามีทั้งข่าวดีและข่าวร้าย
 
ข่าวดีคืออาการดีขึ้น แขนขาชาน้อยลง โดยไม่ต้องผ่าตัด
ส่วนข่าวร้ายคือ ในช่วงที่แม่แขนขาชา แม่ไม่ยอมลงเดิน ไม่ค่อยใช้แขนขา
ทำให้กล้ามเนื้อที่ไม่ค่อยมีการใช้งาน เกิดอ่อนแรงและลีบเล็กลง คุณหมอจึงให้แม่ต้องทำกายภาพบำบัด
 
เราจึงต้องพาไปโรงพยาบาลพักฟื้นด้วยประการฉะนี้
 

ตากน้ำตาไม่แห้ง

Posted: มกราคม 16, 2010 in Private Lek
เพลง : ตากน้ำตา
ศิลปิน : พจน์ สุวรรณพันธ์

พรุ่งนี้ดวงอาทิตย์ก็ขึ้นทางเก่า
แต่ชีวิตเหงา ๆ ของฉันไม่รู้จะเดินไปทิศทางใด
เมื่อไม่มีเธอแล้ว คนที่รักปานดวงใจ
ทุกอย่างที่เคยวาดไว้ ก็พังภายในพริบตา
 
หมดปัญญาจะเหนี่ยวรั้ง หมดพลังจะเดินต่อไป
เพิ่งรู้ว่าฉันอ่อนแอแค่ไหน
เมื่อมีน้ำใส ๆ มันไหลผ่านตา
 
*จะอยู่เผชิญความเหงาต่อไปได้สักกี่น้ำ
แล้วแต่เวรหรือกรรมจะนำพา
เพราะฝากทั้งชีวิตไปผูกติดกับเธอเกินกว่า
จะถอนหัวใจกลับมาเป็นฉันคนเดิมอีกครั้ง
 
*พรุ่งนี้ดวงอาทิตย์ก็ขึ้นทางเก่า
ถ้าชีวิตเหงา ๆ ของฉันตื่นมายังคงมีลมหายใจ
ก็จะกัดฟันฝืน เริ่มต้นกับเช้าว้นใหม่
ให้แสงแดดส่องหัวใจ ที่เปียกชุ่มด้วยน้ำตา
 
ให้แสงอาทิตย์ส่องใจ ฉันจะตากน้ำตา
 
 
 
เมื่อวันที่  15 มกราคม ที่ผ่านมา เกิดปรากฎการณ์ "สุริยุปราคาวงแหวน" ขึ้น
สุริยุปราคา คือการที่เงาของดวงจันทร์บดบังดวงอาทิตย์
ส่วนคำว่า "ชนิด วงแหวน"
หมายถึง ดวงจันทร์ซึ่งมีขนาดเล็กไม่สามารถบดบังดวงอาทิตย์ได้หมด
จึงเกิดเป็น สุริยุปราคาวงแหวน….
 
ปีนี้ประเทศไทยไม่อยู่ในแนวคราส หรือไม่อยู่ในแนวทางเดินของเงาดวงจันทร์บนพื้นโลก
เราจะมองเห็น เป็น สุริยุปราคา บางส่วน ..
แต่น่าจะมีบางประเทศที่เห็นการบดบังเกือบเต็มดวง
 

วันที่ 15 เป็นวันที่ฉันต้องเริ่มทำงานตอน 5 โมงเย็น
จึงเดินทางออกจากบ้านเวลาประมาณ บ่าย 3 โมงเศษ
ซึ่งเป็นช่วงที่เกิดราหูอมดวงอาทิตย์พอดี…
ฉะนั้นบรรยากาศยามบ่าย 3 จึงดูครึ้มๆ คล้ายใกล้ย่ำค่ำตอน 5 โมงเย็นเศษ
ช่วงขับรถ…ฉันพยายามส่องสายตาหาดวงอาทิตย์เพื่อพิสูจน์ถึงการถูกบดบัง
แต่เงยหน้าทีไรเห็นแสงตะวันส่องจ้าเข้าตาทุกครั้ง
ประกอบกับฉันก็ไม่ได้เตรียมอุปกรณ์ในการชมด้วย
จึงได้แค่แอบๆหยีตามองนิดหน่อยแล้วก็ยอมพ่ายแพ้
ต้องทอดสายตามองเส้นทางการจราจรในฐานะผู้ใช้รถใช้ถนนที่ดีต่อไป
 
แต่เมื่อมาถึงที่ทำงานเกือบๆ 5 โมงเย็น
บรรยากาศกลับมาสว่างคล้าย บ่าย 3 บ่าย 4
ท่านราหูคงได้ทำหน้าที่ของท่านเรียบร้อยแล้ว
 
ดวงอาทิตย์ซึ่งได้ชื่อว่าเป็นเจ้าแห่งจักรวาลบางคราวยังถูกรบกวนด้วยการถูกบดบังได้
นับประสาอะไรกันนะ กับชีวิตเล็กๆ เท่ามวลสารฝุ่นผงอย่างมนุษย์เรา….
พ้นจากการถูกราหูครอบงำ
ดวงอาทิตย์ก็ยังสว่างไสวเหมือนเดิม
ทำหน้าที่ขึ้นทางทิศตะวันออก ตกทางทิศตะวันตกเหมือนกัน
คนเราก็ไม่น่าต่างกันนัก
หลังจากพ้นจาก..พระศุกร์เข้า พระเสาร์แทรกแล้ว
เราก็คงจะได้เจอหนทางสว่างบ้างละน่าาาา..
ขอให้ทุกเช้าที่ยังมีลมหายใจ เรามีกำลังพอที่จะพยุงตัวลุกขึ้นเท่านั้นแหละ
ชีวิตคนเราจะมีอะไรสำคัญไปกว่าความหวังและกำลังใจ
เติมความฝัน สร้างความหวังให้ตนเองเสมอ
ทั้งวันนี้และวันพรุ่งนี้ เราก็จะยังคงเดินอยู่บนเส้นทางชีวิตสายขรุขระที่แสนเงียบเหงานี้ได้
พรุ่งนี้ดวงอาทิตย์ก็ขึ้นทางเก่า
ถ้าชีวิตเหงา ๆ ของฉันตื่นมายังคงมีลมหายใจ
ก็จะกัดฟันฝืน เริ่มต้นกับเช้าว้นใหม่
ให้แสงแดดส่องหัวใจ ที่เปียกชุ่มด้วยน้ำตา
ให้แสงอาทิตย์ส่องใจ ฉันจะตากน้ำตา
 
 
 
 ฟังเพลง"ตากน้ำตา"