ฝันกับจริง

Posted: พฤศจิกายน 18, 2011 in Uncategorized

คนเราทุกวันนี้ใช้ชีวิตห่างไกลธรรมชาติมากขึ้นจริงๆ
มีตัวอย่างให้เห็นมากมาย อย่างเช่นผู้หญิงคนหนึ่งที่ฉันจะเล่าให้ฟังต่อไปนี้…

แต่ละวันของเธอคนนี้ออกจากบ้านเพื่อทำงานแต่เช้ากลับบ้านเอาเกือบค่ำ
เธอไม่เคยมีเวลาไปเดินเล่นสวนสาธารณะช่วงยามเย็น
(แล้วมันอยู่ไหนนะสวนสาธารณะ เธอถาม ?)
เธอไม่เคยวิ่งจ๊อกกิ้งออกกำลังกายเหมือนพระเอกนางเอกในละครเขาทำกัน…
(แล้วทำให้เขาได้เจอกันรักกัน)
เธอไม่ค่อยได้ชื่นชมดอกไม้ต้นไม้ใบหญ้าซักเท่าไหร่
แม้แต่ท้องฟ้าที่ดูเหมือนจะติดตามเธอไปทุกที่เธอยังแทบไม่เคยแหงนมอง

เมื่อมีเวลาว่างช่วงวันหยุด..
เธอก็ชอบไปเดินห้างสรรพสินค้า ไปอัพเดทกระแสของความทันสมัย
บางทีเธอก็ซื้อของไปเรื่อยเปื่อย หรือหาอะไรอร่อยๆกิน
(บางอย่างก็ไม่อร่อยหรอกค่ะแถมราคาแพง
แต่เราก็ใช้เวลาเป็นชั่วโมงกับการนั่งกินไปคุยไป เธอบอก !)
แม้จะรู้ว่าเป็นแค่เป็นการเอาเงินไปซื้อความสุขชั่วครู่ยาม แต่เธอก็ยังชอบที่จะทำ

ทุกครั้งที่เดินเข้าบ้านผู้หญิงคนนี้ก็แทบไม่เคยทักทายดอกไม้สวยๆ ต้นไม้ใบเขียวๆที่หน้าบ้าน
จนดอกไม้ที่เบ่งบานบางดอกน้อยใจแทบอยากจะร่วงหล่นจากต้นซะโดยเร็ว
(“ดูเธอซิ เดินผ่านๆเราไปอย่างเร็ว ราวกับว่าเร่งรีบซะเต็มประดา” ดอกโมกข์กลิ่นหอมบ่นกับดอกชวนชมสีสวย)

ทั้งที่เมื่อเข้าบ้าน เธอก็นั่งจ่อมอยู่หน้าคอมพ์จนลืมโลก หรือไม่ก็เปิดทีวีดูละครชวนฝัน
( “ทราบมาว่าตอนนี้เจ้าหล่อนกำลังชอบสายชลกับนางฟ้าค่ะ” เสียงจากทีวี LCD กระซิบผ่านลำโพง)
ดูเอาเถอะใช้เวลาแบบไร้สาระกับความบันเทิงที่ไม่มีแก่นสารอยู่ได้

ปัจจุบันผู้หญิงคนนี้น้ำหนักขึ้น เพราะไม่ค่อยออกกำลังกาย แถมกินมาก
เธอบอกว่าไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกันยิ่งอายุมากขึ้นยิ่งกินเก่ง
แถมชอบกินของหวานนานาชนิด เช่นเค้ก ช็อคโกแลต พวกจั๊งค์ฟู้ด
ต่างจากช่วงอายุน้อยซึ่งไม่มีของกินล่อตาล่อใจแบบนี้ทำให้ตอนนั้นเธอผอมบาง

เธอเริ่มใส่เสื้อผ้าไม่สวย เพราะความอ้วนที่สะสมตามหน้าท้อง ต้นขา ต้นแขน
การเคลื่อนไหวก็เชื่องช้าซึ่งเป็นไปตามวัยที่มากขึ้น ความเชื่อมั่นในตัวเองก็ถูกลดทอน
เธอควบคุมตัวเองให้ไปในทิศทางที่เธอต้องการไม่ได้เลย

แต่เธอบอกว่าก็ดีอย่างหนึ่ง ที่เธอเป็นโสด และไม่เคยใฝ่ฝันเรื่องมีคู่
จึงไม่ต้องแคร์ที่ใครจะมาเรียก “แก่ง่ายตายยาก” หรือถูกเบื่อหน่ายจากใคร

แต่อย่างไรก็ตาม…นี่ไม่ใช่ชีวิตในฝันที่เธอเคยคิดไว้
โดยส่วนลึกในใจเธอรักธรรมชาติ เธอย้ำ “รักธรรมชาติ”
เธอไม่ได้ชอบเทคโนโลยี่ หรือความสุขจอมปลอมพวกนี้
แต่กระแสสังคมมันพาเธอไป ทำให้เธอต้องอยู่ในวังวนเหล่านี้

เธออยากมีบ้านหลังเล็กๆตั้งบนเนินเขา ที่เต็มไปด้วยทุ่งหญ้า
ปลูกดอกไม้เต็มสวน มีลำธารเล็กๆไหลผ่าน
มีเพื่อนบ้านที่อยู่ไม่ไกลนัก แต่สนิทสนมกันดี มีครอบครัวที่แสนอบอุ่น
เมื่อมีเวลาว่างเธอจะนั่งทำงานเย็บปักถักร้อย จัดดอกไม้ใส่แจกันวางที่โต๊ะรับแขก และมุมบ้าน
ทำอาหารอร่อยๆหลายเมนูทั้งไทยและเทศให้คนในบ้านรับประทานอย่างอิ่มเอม
รายได้หลักที่มาจุนเจือครอบครัวจะต้องมาจากหัวหน้าครอบครัวที่มีความเป็นผู้นำที่อบอุ่น

( ข้อเท็จจริงคืองานฝีมือศิลปะเธอแย่มาก และทำกับข้าวได้ไม่กี่อย่าง
และเธอไม่ได้มีเสน่ห์มากพอที่จะหาใครมาตกหลุมรัก แล้วเสนอตัวเป็นหัวหน้าครอบครัวให้เธอได้
เธอจึงต้องทำงานตัวเป็นเกลียวและพยายามเก็บออมเพื่อยามแก่เฒ่าของตนเอง)

ความฝันต่อไปของเธอคือ..เธอจะเป็นผู้หารายได้เสริมเอง
จากการเขียนหนังสือซึ่งเป็นงานที่เธอชอบ
เพราะไม่ต้องลงทุนอะไรเป็นตัวเงิน แค่สะสมข้อมูลไว้ในสมองให้มากๆ
สะสมประสบการณ์ส่วนตัว รวมถึงความช่างจินตนาการเข้าไว้ด้วยกัน
แล้วหยิบทุกอย่างออกมาใช้ประโยชน์อย่างเหมาะสม
จากนั้นนำมาแปรรูปเรื่องราวเป็นตัวอักษรบนกระดาษ จับเรียงไปเรียงมาให้สละสลวยสวยงาม
แล้วจัดส่งทางไปรษณีย์ไปสำนักพิมพ์ ซึ่งจะตีพิมพ์งานของเธออย่างต่อเนื่อง
เธอจะได้ธนาณัติจากผลงานประพันธ์ของเธอเดือนละ 2 ครั้ง ทำให้เธอปลื้มใจในความสามารถตัวเอง
(ข้อเท็จจริงคือเธอเขียนหนังสือไม่เก่งแถมขี้เกียจฝึกฝนอีกต่างหาก
การเขียนหนังสือหรือเขียนอะไรให้คนอ่านสนุกและได้สาระไม่ได้ง่ายอย่างที่คิด)

ดูเอาเถอะชีวิตในฝันกับชีวิตในความจริงของเธอต่างกันมาก
เธอไม่โทษตัวเอง เธอไม่ได้เป็นฝ่ายผิด เทคโนโลยีที่ก้าวหน้านั่นต่างหากที่ผิด
มันทำให้ชีวิตเธอสะดวกสบายเกินไป มันทำให้เธอลืมหันหาธรรมชาติ
มันทำให้ความฝันของเธอห่างไกลออกไปทุกที ไม่มีทางจะเป็นความจริงได้อีกแล้ว
มันทำให้เธอต้องอยู่ในวังวนนี้ต่อไป มันทำให้เธอต้องเป็นแบบนี้ มันทำให้เธอ……

(หมายเหตุ เรื่องที่เขียนมาทั้งหมดเป็นเพียง จินตนาการเท่านั้น
หากจะไปกระทบกระเทือนใครต้องขออภัยด้วย เอ…ทำไมฉันรู้สึก ร้อนๆ ตัวยังไงบอกไม่ถูก)

แรงบันดาลใจของเอนทรี่นี้ได้มาจากการอ่านบทความจากเว็บไซต์หนังสือพิมพ์ข่าวสด
http://www.khaosod.co.th/view_news.php?newsid=TURObWIzSXdOVEV5TVRFMU5BPT0=

เมื่อเร็วๆ นี้ นักวิชาการฝรั่งรายหนึ่งออกมาให้ความรู้เกี่ยวกับความเครียดของคนในสังคมศตวรรษที่ 21 ว่า
ความเครียดของเราทุกวันนี้เกิดขึ้นจากการดำรงชีวิตอยู่ห่างจากธรรมชาติมากเกินไป
คนส่วนใหญ่ในวันนี้มีความสุข หรือพึงพอใจต่อสิ่งต่างๆ น้อยลง ทั้งนี้เพราะเครียดไปได้สารพัดเรื่อง
ร่างกายของคนเรานั้นไม่ได้ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อรองรับการดำรงชีวิตแบบสังคมเทคโนโลยีเช่นทุกวันนี้

เช่น การเอาแต่นั่งทำงานอยู่แต่ในห้องแอร์ กินแต่อาหารแปรรูป ย่อมมีผลกระทบทั้งต่อสมองและอารมณ์
โดยเฉพาะการจมอยู่กับข้อมูลสารพันจากอินเตอร์เน็ต อีเมล์ โทรศัพท์มือถือ หรือมัลติมีเดียรอบตัว
ล้วนแล้วแต่ทำให้เราเปลี่ยนพฤติกรรมไปในที่สุด เราจะอยู่ตามลำพัง คุยกับผู้อื่นน้อยลง
ซึ่งมีผลอย่างแน่นอนต่ออารมณ์และสุขภาพ

ดังนั้น การแก้เครียดอย่างง่ายๆ คือ การออกไปหาธรรมชาติให้มากขึ้น
ซึ่งไม่ได้หมายถึงการออกไปชื่นชมธรรมชาติด้วยการจ่ายเงินก้อนโต
แต่หมายถึงการออกไปทำงานอื่นนอกบ้านบ้าง ไม่ใช่เอาแต่นั่งอยู่ในห้องหรู
หน้าจอคอมพ์ราคาแพง เสพข่าวสาร หรือรายการบันเทิงตลอดวัน
นาฬิกาชีวิตของคนเราก็จะสับสนหากเช้ายันดึกเราอยู่กับแสงจากหลอดไฟตลอด
เพราะร่างกายและสมองไม่รู้แน่ว่าเมื่อใดควรตื่น เมื่อใดควรหลับ ฯลฯ

โดยสรุปแล้ว ชีวิตต้องใกล้ชิดกับธรรมชาติ อยู่กับเสียงธรรมชาติ สายลม เสียงน้ำไหล แสงแดด และความมืดบ้าง
การเปลี่ยนแปลงใดๆ หากจะมีก็ปล่อยให้มันค่อยๆ มีวิวัฒนาการไป แล้วทั้งชีวิตเรา และธรรมชาติจะอยู่ร่วมกันได้ด้วยดี

Lek says
น้ำลดลงอีกนิดหน่อย…
ถ้าต่ำกว่านี้อีกนิด จะยอมลุยน้ำไปทำงานแล้วล่ะ
ตอนนี้ 47 ซม โดยประมาณ

ใส่ความเห็น